โครงการ Worldcoin ได้รับความสนใจในระดับนานาชาติในฐานะนวัตกรรมที่ผสานเทคโนโลยีชีวมาตรเข้ากับบล็อกเชน เพื่อสร้างระบบพิสูจน์ตัวตนระดับโลกผ่านการสแกนม่านตาและออก World ID ให้แก่ผู้ใช้งาน โดยมี WLD Token เป็นเครื่องมือสนับสนุนเศรษฐกิจในระบบ อย่างไรก็ตาม ภายใต้แนวคิดที่ฟังดูเหมือนจะช่วยให้เกิดความเท่าเทียมและเข้าถึงระบบการเงินยุคใหม่ได้ง่ายขึ้น กลับมีคำถามจำนวนมากที่เกิดขึ้นในแง่ของ Worldcoin จริยธรรม ไม่ว่าจะเป็นความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว ความยินยอมโดยสมัครใจของผู้ใช้งานในประเทศกำลังพัฒนา ความโปร่งใสของการเก็บข้อมูล และบทบาทของบริษัทเอกชนที่อาจมีอำนาจเหนือระบบยืนยันตัวตนของมนุษย์ทั่วโลก
Worldcoin ถูกนำเสนอในฐานะระบบที่สามารถ “พิสูจน์ความเป็นมนุษย์” โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์สามารถเลียนแบบมนุษย์ได้เกือบทุกระดับ จุดมุ่งหมายหลักของโครงการคือการแจก World ID และ WLD Token ให้กับทุกคนบนโลกอย่างเท่าเทียมกัน โดยอาศัยเทคโนโลยีการสแกนม่านตาและสร้างรหัสดิจิทัลที่ไม่สามารถย้อนกลับเป็นภาพดวงตาเดิมได้ แม้แนวคิดดังกล่าวจะมีเป้าหมายเชิงบวก แต่ในทางปฏิบัติกลับมีความซับซ้อนทางจริยธรรมจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อระบบนี้เริ่มทดลองในประเทศที่มีรายได้น้อย และประชาชนอาจไม่เข้าใจผลกระทบของการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวมาตร
หัวใจสำคัญของข้อถกเถียงเกี่ยวกับ Worldcoin คือความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน แม้ทีมพัฒนาอ้างว่าไม่เก็บภาพม่านตาหลังจากการสแกนเสร็จ และมีเพียง Iris Code ที่ถูกบันทึกไว้ในลักษณะที่ไม่สามารถถอดกลับได้ แต่คำถามคือ แล้วข้อมูลระหว่างการประมวลผลล่ะ? หรือผู้ใช้งานมีสิทธิที่จะขอลบข้อมูลได้จริงหรือไม่? องค์กรด้านความปลอดภัย เช่น Least Authority และ Electronic Frontier Foundation (EFF) ต่างออกมาเตือนว่า การใช้ข้อมูลชีวมาตรในระดับมหภาค โดยที่ผู้ใช้อาจไม่เข้าใจความเสี่ยงเชิงลึก ถือเป็นช่องโหว่ด้านจริยธรรมที่ต้องตรวจสอบอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในบริบทที่ไม่มีการควบคุมจากภาครัฐหรือองค์กรกลางที่เป็นกลางจริงๆ
แม้ Worldcoin จะอ้างว่าแจกจ่ายสิทธิอย่างเท่าเทียม แต่ก็มีคำถามว่ากระบวนการทั้งหมดดำเนินอยู่บนหลักการที่ยุติธรรมจริงหรือไม่ ประเทศเป้าหมายในช่วงทดลองใช้มักเป็นประเทศในแอฟริกา เอเชีย และละตินอเมริกา ซึ่งมีประชากรที่เข้าถึงระบบการเงินได้น้อย บางคนมองว่านี่คือโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีและรายได้ที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีเสียงวิจารณ์ว่าการจูงใจให้สแกนม่านตาแลกกับเงินดิจิทัลในพื้นที่ที่ประชาชนยากจน อาจเข้าข่ายการเอารัดเอาเปรียบที่ไม่สมดุล จึงเกิดคำถามตามมาว่า แท้จริงแล้วระบบนี้ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างความเสมอภาค หรือเพื่อเก็บฐานข้อมูลชีวมาตรจากผู้ไม่มีอำนาจในการต่อรอง?
มีนักวิชาการจำนวนมากที่ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับ Worldcoin อย่างเปิดเผย เช่น ดร. Divya Siddarth จากองค์กรที่เน้นการออกแบบระบบเพื่อความเป็นธรรมในระดับโลก ได้ตั้งคำถามถึง “สิทธิการเป็นเจ้าของข้อมูลชีวมาตร” และผลกระทบระยะยาวต่อประชาชนหากฐานข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในบริบทที่ไม่ชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ “การยินยอมโดยสมัครใจ” หรือ informed consent ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า หลายพื้นที่ที่มีการใช้งาน Orb อาจไม่สามารถให้ข้อมูลที่ชัดเจนกับผู้ใช้งานได้จริง เพราะข้อจำกัดด้านภาษา หรือเพราะไม่มีการกำกับดูแลจากองค์กรอิสระ
แม้จะมีข้อโต้แย้งมากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแนวคิดของ Worldcoin มีศักยภาพสูงในการยกระดับการยืนยันตัวตนในโลกดิจิทัล โดยเฉพาะในโลก Web3 ที่ต้องการระบบ Proof-of-Humanity อย่างแท้จริง แต่คำถามคือ Worldcoin พร้อมหรือยังกับความรับผิดชอบเชิงจริยธรรมที่ต้องมาคู่กัน? การใช้เทคโนโลยีเพื่อรวมโลกให้ใกล้กันมากขึ้นควรดำเนินภายใต้หลักการโปร่งใส ยุติธรรม และรับฟังเสียงของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง มิใช่เพียงการแจกเหรียญหรือสร้างโทเคนเศรษฐกิจเท่านั้น
Worldcoin ได้จุดกระแสสำคัญในวงการเทคโนโลยี โดยเฉพาะในประเด็นเรื่อง Worldcoin จริยธรรม และ Worldcoin ความเป็นส่วนตัว ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อมูลชีวมาตรของมนุษย์เพื่อสร้างระบบยืนยันตัวตนระดับโลก อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังเผชิญกับ ข้อโต้แย้ง Worldcoin อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากนักวิชาการ ภาคประชาสังคม และหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศ การจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ Worldcoin อาจขึ้นอยู่กับระดับความเข้าใจของแต่ละคน และความโปร่งใสที่โครงการสามารถแสดงออกมาได้ในระยะยาว หาก Worldcoin สามารถแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบ ความเป็นธรรม และการเคารพในสิทธิของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง โครงการนี้อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงด้านจริยธรรมของโลกดิจิทัลในอนาคต หากคุณสนใจแนวคิดใหม่ของการยืนยันตัวตนผ่านเทคโนโลยี อย่าลืมตั้งคำถามถึงหลักจริยธรรมและผลกระทบที่ตามมา เพราะอนาคตของข้อมูลชีวมาตรนั้นเกี่ยวข้องกับเราทุกคน