Worldcoin

Web3

DAO, Web3

DAOs (Decentralized Autonomous Organizations): องค์กรยุคใหม่

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำและความไว้วางใจในองค์กรแบบดั้งเดิมถูกตั้งคำถามมากขึ้น DAOs หรือ Decentralized Autonomous Organizations ได้ก้าวขึ้นมาเป็นรูปแบบการจัดการองค์กรที่น่าจับตามองที่สุดแบบหนึ่งในโลกดิจิทัล โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นแกนหลัก ได้เปลี่ยนแนวทางการทำงานร่วมกัน การบริหาร และการตัดสินใจภายในกลุ่มคนอย่างสิ้นเชิง DAO คือองค์กรที่ ดำเนินงานอย่างอัตโนมัติและกระจายศูนย์กลาง โดยการใช้ สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) บนเครือข่ายบล็อกเชนเพื่อควบคุมกฎระเบียบ การลงคะแนน และการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายในองค์กร กล่าวคือ DAO ไม่จำเป็นต้องมีผู้นำหรือผู้บริหารแบบดั้งเดิม เพราะทุกการตัดสินใจมาจากสมาชิกที่ถือโทเคนขององค์กร ลองจินตนาการถึงบริษัทที่ไม่จำเป็นต้องมี CEO, ไม่ต้องเปิดบัญชีธนาคาร และไม่ต้องรออนุมัติจากหัวหน้า ทุกอย่างดำเนินไปด้วยโค้ดและการโหวตของชุมชน DAO มีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน: Smart Contracts – กฎขององค์กรเขียนไว้ในรูปแบบโค้ด และรันอัตโนมัติบนบล็อกเชน เช่น Ethereum  โทเคน – ใช้ในการโหวตและบริหาร เช่น การตัดสินใจด้านงบประมาณหรือการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่  ชุมชนสมาชิก – ผู้ถือโทเคนมีสิทธิในการเสนอและลงคะแนนเสียงเพื่อกำหนดทิศทางขององค์กร  ในระบบนี้ ไม่มีใคร “ควบคุม” องค์กรได้เพียงลำพัง ทุกคนมีเสียง และการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีฉันทามติจากชุมชน DAOs ถูกนำมาใช้ในหลากหลายบริบท เช่น: การบริหารเงินทุน: เช่น The DAO ซึ่งเป็นโปรเจกต์แรกๆ ที่ระดมทุนจากผู้คนทั่วโลกเพื่อบริหารกองทุนร่วมกัน  แพลตฟอร์ม DeFi (การเงินไร้ตัวกลาง): เช่น MakerDAO ที่ดูแลเหรียญ DAI ซึ่งเป็น Stablecoin ที่ผูกกับดอลลาร์สหรัฐ  กลุ่มศิลปินและนักสร้างสรรค์: ใช้ DAO เพื่อร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับโปรเจกต์งานศิลป์และการแบ่งรายได้ เช่น PleasrDAO  เกมและโลกเสมือนจริง: เกมแนว metaverse เช่น Decentraland ก็ใช้ DAO เพื่อให้ผู้เล่นมีส่วนในการบริหารเกม DAO ไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์ดิจิทัลชั่วคราว แต่สะท้อนถึง การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ของวิธีที่มนุษย์สร้างและบริหารองค์กรในยุคอินเทอร์เน็ต 3.0 (Web3) ทั้งนี้ องค์กรกระจายอำนาจ ดั้งเดิมก็เริ่มทดลองรูปแบบ DAO ในบางแง่มุม เช่นการใช้โหวตแบบกระจายอำนาจ หรือการเปิดให้พนักงานร่วมเสนอแผนงานได้มากขึ้น DAOs คือภาพสะท้อนของอนาคตที่ ความเป็นเจ้าของ ความรับผิดชอบ และการตัดสินใจ กลับมาอยู่ในมือของผู้คนมากขึ้น ด้วยความโปร่งใสและเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้ DAO ไม่ได้เป็นแค่ “องค์กรที่ไม่มีผู้นำ” แต่เป็น “องค์กรที่มีทุกคนเป็นผู้นำร่วมกัน” หากโลกยังเดินหน้าไปในทิศทางของ Web3 และการกระจายศูนย์กลาง DAO อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการจัดการองค์กรในอนาคตอันใกล้ ที่มา – https://www.investopedia.com/tech/what-dao/

Web3, NFT

NFTs & สินทรัพย์ดิจิทัล: ความเป็นเจ้าของที่ไม่ซ้ำกัน

NFT คืออะไร โทเคนดิจิทัลที่ไม่สามารถทดแทนหรือเปลี่ยนแปลงกันได้ เนื่องจากแต่ละโทเคนมีลักษณะเฉพาะตัว แตกต่างจาก โทเคนทั่วไปอย่าง Bitcoin หรือ Ethereum ที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้เทียบเท่า NFTs จึงเหมาะกับการแทนสิ่งของหรือผลงานที่มีความเป็นเอกลักษณ์ เช่น งานศิลปะ เพลง วิดีโอ โทเคนในเกม หรือแม้แต่เอกสารสำคัญต่างๆ เมื่อพูดถึง สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) เราหมายถึงสิ่งที่มีมูลค่าและสามารถถือครองในรูปแบบดิจิทัลได้ เช่น สกุลเงินคริปโต โดเมนเนม ซอฟต์แวร์ หรือเนื้อหาดิจิทัลต่าง ๆ โดย NFTs ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มีความพิเศษคือการแสดง “เจ้าของที่ไม่ซ้ำใคร” ก่อนมี NFTs การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของในโลกดิจิทัลถือเป็นเรื่องยาก เพราะข้อมูลดิจิทัลสามารถคัดลอกได้ง่าย แต่ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ทำให้ข้อมูลการถือครองของแต่ละโทเคนสามารถบันทึกแบบถาวร โปร่งใส และตรวจสอบได้ 1. วงการศิลปะดิจิทัล (Digital Art) Non-Fungible Token เปลี่ยนเกมสำหรับศิลปินดิจิทัลโดยสิ้นเชิง เพราะ: ศิลปินสามารถขายผลงานต้นฉบับในรูปแบบดิจิทัลได้ ระบบ Smart Contract สามารถกำหนด “ค่าลิขสิทธิ์ถาวร” (Royalty) เช่น รับ 10% ทุกครั้งที่มีการซื้อขายต่อ ยืนยันตัวตนเจ้าของผลงานได้ผ่านบล็อกเชน 2. เกมและไอเท็มในเกม (GameFi / In-Game Assets) ผู้เล่นสามารถถือครองและแลกเปลี่ยนไอเท็มในเกม เช่น ดาบ เสื้อผ้า หรือที่ดินดิจิทัลได้เหมือนสินทรัพย์จริง ไอเท็มที่ซื้อไม่หายแม้เลิกเล่นเกม ขายต่อในตลาด NFT ได้ เกมที่ใช้โมเดล Play-to-Earn จะให้ผู้เล่นสร้างรายได้จากการเล่นเกม 3. วงการบันเทิง (เพลง, ภาพยนตร์, คลิป) นักร้องสามารถขายเพลงหรือสิทธิพิเศษในการเข้าชมคอนเสิร์ตแบบ NFT ผู้สร้างภาพยนตร์สามารถขายฉากพิเศษ หรือเบื้องหลังเป็น NFT คลิปไวรัลหรือวิดีโอจากคนดังสามารถมีเจ้าของในรูปแบบดิจิทัลได้ 4. สินค้าแฟชั่นและของสะสม (Digital Fashion & Collectibles) แบรนด์แฟชั่นระดับโลก เช่น Gucci, Nike เริ่มขายเสื้อผ้าและรองเท้าในโลก Metaverse การ์ดสะสมดิจิทัล เช่น NBA Top Shot ใช้ NFT เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของคลิปการแข่งขันสุดพิเศษ 5. เอกสารทางกฎหมาย / ทรัพย์สินทางปัญญา ใช้ NFT เป็นเครื่องยืนยันกรรมสิทธิ์เอกสาร เช่น สัญญา, ใบรับรอง, โฉนดที่ดินดิจิทัล ใช้เป็นหลักฐานการครอบครองสิทธิบัตรหรือสิ่งประดิษฐ์ ในโลกยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) ได้กลายมาเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเงินทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency), โทเคน NFT, ไฟล์มัลติมีเดีย, ข้อมูลส่วนบุคคล หรือแม้แต่สินทรัพย์เสมือนในเกม ล้วนแล้วแต่ถือเป็น “ทรัพย์สิน” ที่มีมูลค่าและสามารถสร้างรายได้หรือใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนและบริหารจัดการธุรกิจได้ ที่มา – https://www.cloudwards.net/nft-statistics/

Web3, DeFi

DeFi (Decentralized Finance): การเงินแบบไร้ตัวกลาง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ หรือที่เรียกกันว่า DeFi (Decentralized Finance) ได้กลายเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่น่าจับตามองที่สุดในโลกของบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบการเงินที่ เปิดกว้าง โปร่งใส และไม่มีตัวกลาง อย่างธนาคารหรือสถาบันทางการเงินแบบดั้งเดิม DeFi คืออะไร ระบบการเงินที่สร้างขึ้นบนเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินต่างๆ ได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง เช่น ธนาคาร บริษัทประกัน หรือโบรกเกอร์ โดยใช้ Smart Contract หรือสัญญาอัจฉริยะเป็นกลไกในการดำเนินการอัตโนมัติ  DeFi กำลังเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนทั่วโลกเข้าถึงและใช้บริการทางการเงิน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ระบบธนาคารเข้าถึงได้ยาก มีแนวโน้มว่าระบบจะผสานรวมเข้ากับ Web3 และ Metaverse ทำให้การเงินกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ออนไลน์ที่ราบรื่นยิ่งขึ้น เมื่อมีการพัฒนา UX/UI ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ ความรู้ความเข้าใจของประชาชนเพิ่มขึ้น และการร่วมมือกับภาครัฐหรือสถาบันต่างๆ Decentralized Exchange ก็อาจกลายเป็นระบบการเงินหลักในอนาคต DeFi คือ ก้าวกระโดดของระบบการเงิน ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมและเป็นเจ้าของ การเงินกระจายอำนาจ ของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาธนาคารหรือองค์กรกลาง ด้วยความโปร่งใส ยืดหยุ่น และศักยภาพในการพัฒนาอย่างไร้ขอบเขต DeFi จึงถือเป็นหัวใจสำคัญของการเงินในยุค Web3 ที่ควรจับตาอย่างยิ่ง ที่มา – https://bitcoinaddict.org/2020/07/21/what-is-decentralized-finance-defi/

Web3

Web3 คืออะไร? อินเทอร์เน็ตที่ผู้ใช้เป็นเจ้าของ

Web3 หรือ Web 3.0 กำลังกลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในโลกเทคโนโลยี เพราะมันคือการวิวัฒนาการขั้นต่อไปของอินเทอร์เน็ต ที่เน้น การเป็นเจ้าของ โดยผู้ใช้ (User Ownership) แทนที่จะถูกควบคุมโดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ไม่กี่แห่งเหมือนในยุคปัจจุบัน Web3 คืออะไร แนวคิดของอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ ที่มีลักษณะ “กระจายศูนย์ (Decentralized)” ซึ่งผู้ใช้เป็นเจ้าของข้อมูลและมีอำนาจในการควบคุมตัวตนของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาองค์กรหรือแพลตฟอร์มกลาง (เช่น Facebook หรือ Google) อีกต่อไป ใช้เทคโนโลยี บล็อกเชน (Blockchain) คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) และ สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) เป็นหัวใจสำคัญ ทำให้ระบบการดำเนินงานเป็นแบบอัตโนมัติ ปลอดภัยและโปร่งใส อินเทอร์เน็ตกระจายอำนาจ อินเทอร์เน็ตยุคเริ่มต้น เป็นแบบ “อ่านอย่างเดียว” เว็บไซต์ส่วนใหญ่เป็นแบบคงที่ ผู้ใช้สามารถเข้าชมข้อมูลได้แต่ไม่สามารถโต้ตอบหรือมีส่วนร่วมได้มากนัก  อนาคตอินเทอร์เน็ต ยุคของแพลตฟอร์มและเครือข่ายสังคม ผู้ใช้เริ่มมีบทบาทในการสร้างเนื้อหา เช่น การโพสต์บน Facebook อัปโหลดวิดีโอบน YouTube หรือเขียนบล็อก แต่บริษัทกลางยังเป็นผู้ควบคุมข้อมูลและแพลตฟอร์ม Web3 ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่คือการปฏิวัติแนวคิด “ใครควบคุมอินเทอร์เน็ต” จากที่เคยเป็นของบริษัทใหญ่ๆ กลายเป็นของ “พวกเราทุกคน” ผู้ใช้ในยุค Web3 จะเป็นเจ้าของข้อมูล ทรัพย์สินดิจิทัลและมีสิทธิ์มีเสียงในโลกออนไลน์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ที่มา – https://aws.amazon.com/th/what-is/web3/

Scroll to Top