Worldcoin

AI

Artificial Intelligence

AI

อนาคตของการทำงานและข้อมูลระบุตัวตนในยุค AI

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนบทความ การขับเคลื่อนยานยนต์ หรือแม้กระทั่งการให้คำแนะนำทางการแพทย์ ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของสังคมโลก โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแรงงานและการพิสูจน์ตัวตนในโลกดิจิทัล หนึ่งในประเด็นสำคัญของการเข้าสู่ยุค AI คือผลกระทบต่อรูปแบบของการจ้างงานและประเภทงานที่ยังคงมีความจำเป็นสำหรับมนุษย์ ในปัจจุบันมีหลายอุตสาหกรรมที่เริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน เช่น ธนาคารที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงแทนเจ้าหน้าที่สินเชื่อ หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ระบบอัตโนมัติแทนแรงงานคน แนวโน้มนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า AI กับการจ้างงาน จะอยู่ร่วมกันอย่างไรในระยะยาว ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมองว่าการหายไปของงานบางประเภทจะมาพร้อมกับการเกิดขึ้นของตำแหน่งงานใหม่ โดยเฉพาะในด้านการดูแลระบบ AI การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก หรือการออกแบบระบบที่ต้องอาศัยวิจารณญาณของมนุษย์ที่เทคโนโลยียังไม่สามารถแทนที่ได้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนี้จำเป็นต้องมีนโยบายรองรับทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ เช่น การฝึกอบรมใหม่สำหรับแรงงานเดิม การสนับสนุนการศึกษาด้านดิจิทัล และการกำหนดมาตรฐานจริยธรรมสำหรับการใช้ AI ในที่ทำงาน เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงาน ระบบการจ้างงานที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีจะต้องมีวิธีที่แน่นอนในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน หรือพนักงานแต่ละคน การนำ ข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัล มาใช้จึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างมาก ข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัล หมายถึงชุดข้อมูลที่สามารถใช้ระบุตัวบุคคลได้ในโลกออนไลน์ เช่น รหัสประจำตัวดิจิทัล, ข้อมูลชีวมาตร, ลายเซ็นดิจิทัล หรือแม้แต่ประวัติการทำงานที่อยู่ในรูปแบบบล็อกเชน สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ระบบสามารถยืนยันว่า “คุณคือใคร” ได้อย่างแม่นยำ แม้จะทำงานจากระยะไกลหรือมีความสัมพันธ์กับองค์กรจากหลายประเทศ ในระบบแรงงานสมัยใหม่ ข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัลมีบทบาทหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเข้า-ออกระบบงาน การเข้าถึงข้อมูลเฉพาะ การคำนวณผลตอบแทน และแม้กระทั่งการตรวจสอบประวัติการทำงานก่อนหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบดั้งเดิมทำได้ยากในสเกลระดับโลก แม้ข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัลจะมอบความสะดวกและความแม่นยำในการระบุตัวบุคคลในโลกของการทำงานยุค AI แต่ก็มีข้อกังวลในด้านความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงของข้อมูลอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อองค์กรจำนวนมากเริ่มใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการข้อมูลแรงงานแบบเรียลไทม์ การใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลแรงงาน เช่น พฤติกรรมในที่ทำงานหรือประสิทธิภาพในการทำงาน อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ขาดความเป็นธรรม หากไม่มีการควบคุมหรือเกณฑ์จริยธรรมที่ชัดเจน ในบางกรณี AI อาจมีอคติ (bias) ที่ฝังอยู่ในโมเดลข้อมูล ซึ่งส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางโอกาสในที่ทำงาน ทางออกที่เป็นไปได้คือการกำหนดมาตรฐานสากลสำหรับการใช้งานข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัล ควบคู่กับกฎหมายที่ปกป้องสิทธิของแรงงาน รวมถึงการพัฒนา AI ที่มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ (auditable AI) ในอนาคตอันใกล้ แนวโน้มการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI จะกลายเป็นเรื่องปกติ การจัดทีมงานอาจประกอบด้วยคนจริง ๆ เพียงบางส่วน ที่เหลือคืออัลกอริทึมที่เรียนรู้จากข้อมูลมหาศาล และสามารถให้ข้อเสนอแนะหรือช่วยตัดสินใจในเรื่องที่ซับซ้อนได้ภายในไม่กี่วินาที เราจะเห็นงานประเภทใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ผู้ควบคุมจริยธรรมของ AI, นักออกแบบประสบการณ์ร่วมระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร, หรือแม้กระทั่งนักแปลระหว่างโมเดล AI ต่าง ๆ ที่ใช้ในองค์กรที่แตกต่างกัน การเตรียมตัวสำหรับ อนาคตการทำงาน AI จึงไม่ได้หมายถึงการเรียนรู้แค่ด้านเทคโนโลยี แต่ยังรวมถึงการเข้าใจบทบาทของข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัลในโลกที่ข้อมูลคือรากฐานของทุกระบบ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และจริยธรรม ประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มปรับระบบแรงงานของตนให้รองรับการใช้ AI และข้อมูลดิจิทัลอย่างจริงจัง เช่น สหภาพยุโรปที่กำลังจัดทำกฎหมายควบคุม AI หรือสิงคโปร์ที่มีนโยบายส่งเสริมทักษะดิจิทัลสำหรับแรงงานทุกระดับ ในขณะเดียวกัน ประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงทรัพยากร เช่น อินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพ, ความรู้ทางเทคโนโลยี และความเชื่อมั่นในระบบข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัล ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนของการพัฒนาในอนาคต โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่แรงงานไม่ได้ถูกนิยามแค่ด้วยจำนวนชั่วโมงทำงาน แต่ด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการมีตัวตนดิจิทัลที่ตรวจสอบได้ น่าเชื่อถือ และปลอดภัย อนาคตการทำงาน AI ไม่ใช่แค่เรื่องของการมีเทคโนโลยีมาแทนแรงงานมนุษย์ แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดของทั้งระบบเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการยืนยันตัวตนให้สอดคล้องกับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและอัลกอริทึม ข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัล จะกลายเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ต่างจากบัตรประชาชนในโลกจริง เพราะเป็นกุญแจในการเข้าถึงสิทธิ แหล่งงาน และการมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจใหม่ที่ไม่จำกัดเพียงภูมิภาคหรือประเทศอีกต่อไป หากคุณคือแรงงานยุคใหม่หรือผู้นำองค์กร การทำความเข้าใจกับบทบาทของ AI และการจัดการข้อมูลระบุตัวตนอย่างมีจริยธรรม จะเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญที่ช่วยให้คุณเติบโตไปพร้อมกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง ที่มา – https://www.dia.co.th/articles/ai-replacing-human/

AI

การผสานรวม AI และบล็อกเชน: นวัตกรรมแห่งอนาคต

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกได้เห็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีสองแขนงสำคัญ ได้แก่ AI (Artificial Intelligence) และ Blockchain (บล็อกเชน) แต่ในปี 2025 สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าเดิม คือการที่สองเทคโนโลยีนี้เริ่ม ผสานรวมกันอย่างลึกซึ้ง กลายเป็นแนวคิดที่เรียกว่า AI Blockchain ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการเทคโนโลยีโลก AI Blockchain คือการผสานพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับโครงสร้างข้อมูลแบบกระจายศูนย์ของบล็อกเชน โดย AI เป็นเทคโนโลยีที่สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล ทำการเรียนรู้ และคาดการณ์ผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ ขณะที่บล็อกเชนมีบทบาทในการสร้างความโปร่งใส ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูล เมื่อรวมกัน เทคโนโลยีทั้งสองสามารถสร้างระบบอัตโนมัติที่ทั้งชาญฉลาดและตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลแบบไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง การตัดสินใจแบบโปรแกรมอัตโนมัติ (smart contracts) หรือการสร้างโมเดลเศรษฐกิจแบบใหม่ที่กระจายอำนาจอย่างแท้จริง แม้ AI และบล็อกเชนจะดูเหมือนเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาในทิศทางคนละด้าน แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไปจะเห็นว่าแต่ละเทคโนโลยีสามารถเข้ามาเสริมจุดแข็งให้กันได้อย่างลงตัว AI เก่งในการวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจอย่างชาญฉลาด แต่ขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ในทางกลับกัน บล็อกเชนเป็นแหล่งเก็บข้อมูลที่ไม่สามารถถูกแก้ไขย้อนหลังได้ แต่ไม่สามารถตีความหรือเรียนรู้จากข้อมูลได้อย่างลึกซึ้งเหมือน AI ดังนั้นเมื่อ AI ทำหน้าที่ในการประมวลผลและสร้างโมเดลการตัดสินใจ ส่วนบล็อกเชนจะทำหน้าที่เก็บและยืนยันผลลัพธ์ให้ทุกฝ่ายมั่นใจได้ในความโปร่งใสและปลอดภัย กลายเป็นระบบที่ทั้งฉลาดและไว้วางใจได้ในเวลาเดียวกัน หนึ่งใน Use Case ที่ชัดเจนของการผสาน AI Blockchain คือ การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดย AI สามารถวิเคราะห์ความต้องการของสินค้า คาดการณ์ความล่าช้า และแนะนำการจัดเส้นทางที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่บล็อกเชนจะบันทึกข้อมูลการเคลื่อนไหวของสินค้าแต่ละหน่วยไว้บนระบบที่ไม่สามารถถูกแก้ไขได้ ทำให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ทุกขั้นตอน อีกหนึ่งกรณีที่ได้รับความสนใจคือการนำ AI Blockchain ไปใช้ใน การแพทย์ โดยข้อมูลผู้ป่วยจะถูกเก็บอย่างปลอดภัยบนบล็อกเชน และ AI จะเข้ามาช่วยวิเคราะห์เพื่อเสนอแนวทางการรักษาแบบเฉพาะบุคคล ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยยังคงความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสไว้ ในแวดวงการเงินเอง แนวคิด AI Crypto เริ่มมีบทบาทสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของตลาดและส่งสัญญาณซื้อ-ขายในระบบที่มีบล็อกเชนเป็นฐานข้อมูลแบบโปร่งใส ไปจนถึงการสร้างเหรียญดิจิทัลใหม่ที่ถูกออกแบบโดย AI เพื่อให้เหมาะกับระบบเศรษฐกิจเฉพาะกลุ่ม แม้ศักยภาพของ AI Blockchain จะมีมาก แต่ก็ยังมีอุปสรรคหลายประการที่ต้องแก้ไขก่อนการใช้งานจะเป็นที่แพร่หลายอย่างแท้จริง อาทิ ความซับซ้อนของการบูรณาการระบบ AI เข้ากับเครือข่ายบล็อกเชนที่มีข้อจำกัดเรื่องความเร็วในการประมวลผล และค่าใช้จ่ายของการเขียนข้อมูลจำนวนมากลงบนเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่อง จริยธรรม และ การควบคุม ที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ เช่น การให้ AI ตัดสินใจในเรื่องที่มีผลกระทบสูงต่อมนุษย์ โดยไม่มีผู้ควบคุมที่ชัดเจน หรือการทำให้โมเดล AI เรียนรู้จากข้อมูลที่อยู่บนบล็อกเชนซึ่งอาจมีอคติหรือไม่สมบูรณ์ การแก้ปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการร่วมมือจากทั้งนักพัฒนา วิศวกรด้านข้อมูล นักกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบาย เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความรับผิดชอบ ในปี 2025 แนวคิด AI Crypto กำลังเปลี่ยนจากแค่เทรนด์ไปสู่การเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของโลกการเงินดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบอทซื้อขายที่ขับเคลื่อนด้วย AI และใช้ smart contracts ทำให้การลงทุนไม่ต้องพึ่งคนกลาง การสร้าง NFT ที่เรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมของผู้ใช้ หรือแม้แต่การออกเหรียญใหม่โดยใช้โมเดล AI ประเมินความต้องการของตลาดและจัดสรรอุปทานโดยอัตโนมัติ โครงการอย่าง Fetch.ai, Ocean Protocol, SingularityNET และอื่น ๆ ต่างก็เดินหน้าในทิศทางของการเชื่อมโยง AI และบล็อกเชน เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ไม่มีศูนย์กลางควบคุม แต่ยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านอัลกอริทึมที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง แนวโน้มที่น่าจับตาอีกประการคือการนำ AI Blockchain ไปใช้ในภาครัฐ เช่น การจัดการระบบเลือกตั้งดิจิทัลแบบไร้ตัวกลาง การจ่ายเงินช่วยเหลือที่โปร่งใส และการติดตามงบประมาณภาครัฐแบบเรียลไทม์ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถทำได้ภายใต้เงื่อนไขความโปร่งใสสูงสุด AI Blockchain ไม่ใช่แค่การรวมเทคโนโลยีสองแขนงเข้าด้วยกัน แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ของโลกธุรกิจและสังคมในภาพรวม ด้วยการผสานพลังของ AI ที่สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้เอง กับระบบ บล็อกเชน ที่ให้ความโปร่งใสและปลอดภัย ทำให้เกิดโอกาสในการสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ทั้งยั่งยืนและยุติธรรม จากการใช้งานในภาคโลจิสติกส์ การแพทย์ การเงิน ไปจนถึงภาครัฐ แนวคิด AI และบล็อกเชน กำลังเปลี่ยนโฉมโลกดิจิทัลในทุกมิติ และ AI Crypto เองก็กำลังกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของเทคโนโลยีการเงินในอนาคต ที่มา – https://www.marketingoops.com/news/biz-news/ai-the-future-of-the-blockchain-industry/

AI

AI จริยธรรมและสังคม: ความท้าทายและโอกาส

เมื่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นเทคโนโลยีหลักที่ขับเคลื่อนโลกยุคดิจิทัล คำถามที่ใหญ่ที่สุดอาจไม่ใช่เพียงว่า AI จะทำอะไรได้บ้าง แต่เป็นคำถามที่ลึกกว่านั้นว่า “ควร ทำอะไรหรือไม่?” การพัฒนา AI ในวันนี้จึงไม่สามารถแยกออกจากประเด็น AI จริยธรรม ซึ่งกลายเป็นหัวข้อสำคัญในทั้งวงวิชาการ ธุรกิจ และนโยบายสาธารณะ  AI จริยธรรม หมายถึงหลักการและแนวคิดด้านศีลธรรมที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ พัฒนา และใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ โดยเน้นที่การปกป้องสิทธิมนุษยชน ความเป็นธรรม ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจของอัลกอริทึม การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล หรือแม้แต่การควบคุมหุ่นยนต์ในอนาคต ทุกขั้นตอนในห่วงโซ่ของ AI ล้วนมีผลต่อความไว้วางใจของสังคม หากขาดกรอบจริยธรรมที่ชัดเจน เทคโนโลยีนี้อาจกลายเป็นดาบสองคมที่นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ การเลือกปฏิบัติ หรือแม้แต่การทำร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ แนวคิดจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงวิชาการ แต่การนำมาปฏิบัติในโลกจริงกลับเต็มไปด้วยความซับซ้อน AI ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์ การเงิน หรือกระบวนการยุติธรรม เริ่มมีบทบาทในการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนจริง ๆ ทำให้ประเด็นจริยธรรมยิ่งสำคัญขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ในระบบการสรรหาพนักงานด้วย AI มีกรณีศึกษาที่พบว่าระบบเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงหรือคนผิวสีจากการเรียนรู้ข้อมูลในอดีตโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการออกแบบระบบให้ปราศจากอคติทางข้อมูลและสามารถตรวจสอบได้ หนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ ผลกระทบ AI ต่อสังคม ซึ่งขยายวงกว้างตั้งแต่ตลาดแรงงานไปจนถึงโครงสร้างอำนาจทางการเมือง ระบบ AI ที่มีความสามารถในการทดแทนแรงงานมนุษย์ในหลายสาขา อาจนำไปสู่การว่างงานจำนวนมาก หรือความไม่เท่าเทียมที่รุนแรงขึ้น ขณะเดียวกัน AI ยังสามารถสร้าง “ฟองข้อมูล” ที่จำกัดมุมมองของผู้ใช้ ทำให้คนเราเข้าถึงข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อของตัวเองเท่านั้น ส่งผลต่อการรับรู้ ความขัดแย้ง และแม้แต่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังมีคำถามด้านจริยธรรมเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธอัตโนมัติ การเฝ้าระวังมวลชน และการสร้างเนื้อหาปลอมด้วย AI ที่อาจถูกใช้เพื่อทำลายความไว้วางใจในสื่อ หรือปลุกปั่นความรุนแรงในสังคม ผู้พัฒนา AI ไม่สามารถยึดหลักเพียง “ทำได้” แต่ต้องพิจารณาว่า “ควรทำหรือไม่” ด้วย ความรับผิดชอบทางจริยธรรมต้องอยู่ในทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบระบบ การเลือกข้อมูลฝึกสอน ไปจนถึงการปล่อยใช้งานในวงกว้าง การฝึกอบรมโมเดล AI ด้วยข้อมูลที่มีอคติ หรือไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แม้ว่าผู้ใช้งานปลายทางจะไม่สามารถเห็นข้อมูลต้นทางได้ก็ตาม นอกจากนี้ การขาดความโปร่งใสในการตัดสินใจของ AI ยังทำให้เกิดปัญหาในการอธิบาย (Explainability) และลดความสามารถของผู้ใช้งานในการทวงถามความยุติธรรมเมื่อเกิดผลลัพธ์ที่ผิดพลาด ในอนาคต เมื่อ AI มีความสามารถใกล้เคียงหรือเกินกว่ามนุษย์ในบางด้าน คำถามทางจริยธรรมจะยิ่งยากขึ้น เช่น หาก AI สามารถสร้างงานศิลปะได้ดีกว่ามนุษย์ ใครควรได้รับเครดิต? หากหุ่นยนต์มี “ความรู้สึก” เราควรปฏิบัติต่อพวกมันอย่างไร? คำถามเหล่านี้จะกลายเป็นความจริงในเวลาไม่นาน และสังคมจะต้องมีเครื่องมือในการตอบอย่างมีเหตุผลและมีจริยธรรม เพื่อไม่ให้มนุษย์หลุดจากการควบคุมเทคโนโลยีที่ตัวเองสร้างขึ้น AI จริยธรรม ไม่ใช่แค่ศัพท์วิชาการหรือแนวคิดในห้องทดลอง แต่คือหัวใจของการอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัยในยุคดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนชีวิตคนทุกวัน ความรับผิดชอบของผู้พัฒนา ผู้ใช้งาน และผู้กำหนดนโยบาย ต้องอยู่บนพื้นฐานของ จริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ ที่ไม่ละเลยผลกระทบต่อมนุษย์ แม้ว่า AI จะมอบโอกาสใหม่มหาศาล แต่หากไม่เข้าใจถึง ผลกระทบ AI ต่อสังคม อย่างลึกซึ้ง เทคโนโลยีนี้อาจกลายเป็นตัวเร่งปัญหาทางจริยธรรมที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น การวางกรอบคิดเชิงจริยธรรมตั้งแต่วันนี้ จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นภารกิจที่มนุษย์ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ ที่มา – https://www.scb10x.com/blog/emerging-ethical-challenges-generative-ai

AI

พื้นฐาน AI: ทำความเข้าใจปัญญาประดิษฐ์

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้ง คำว่า “AI” หรือ “ปัญญาประดิษฐ์” กลายเป็นคำที่ผู้คนได้ยินกันบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะในบริบทของโทรศัพท์มือถือ การเงิน การแพทย์ หรือแม้กระทั่งศิลปะ หลายคนอาจสงสัยว่าแท้จริงแล้ว AI คืออะไร มันทำงานอย่างไร และมีประโยชน์หรือข้อจำกัดอะไรบ้างที่เราควรตระหนักก่อนการนำมาใช้งาน AI ย่อมาจากคำว่า Artificial Intelligence หรือในภาษาไทยเรียกว่า “ปัญญาประดิษฐ์” หมายถึง ระบบหรือโปรแกรมที่ถูกออกแบบให้สามารถเลียนแบบกระบวนการคิด การเรียนรู้ การวิเคราะห์ และการตัดสินใจของมนุษย์ โดยอาศัยข้อมูล อัลกอริธึม และโครงสร้างที่ซับซ้อนทางคณิตศาสตร์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง AI คือความสามารถของเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์ในการ “แสดงออก” ทางความคิดเชิงตรรกะ เช่น การจำแนกรูปภาพ การคำนวณ การพยากรณ์ หรือแม้แต่การโต้ตอบกับมนุษย์ในรูปแบบภาษาธรรมชาติ ซึ่งในอดีตเป็นสิ่งที่เคยจำกัดอยู่เพียงในสมองของมนุษย์เท่านั้น การเรียนรู้เรื่อง AI ควรเริ่มจากพื้นฐาน โดยการเข้าใจว่า AI ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ไม่สามารถมีความรู้สึกหรืออารมณ์ได้เหมือนมนุษย์ แต่สามารถ “เรียนรู้” จากข้อมูลจำนวนมาก และปรับปรุงการทำงานของตนเองอย่างต่อเนื่องผ่านเทคนิคที่เรียกว่า Machine Learning (การเรียนรู้ของเครื่อง) และ Deep Learning (การเรียนรู้เชิงลึก) ในระดับ ปัญญาประดิษฐ์เบื้องต้น ระบบ AI มักเริ่มจากการทำงานอย่างเรียบง่าย เช่น การจัดกลุ่มข้อมูล การแยกประเภท หรือการตอบคำถามแบบพื้นฐาน โดยยังไม่ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกหรือการประมวลผลที่ซับซ้อนมากนัก จุดเริ่มต้นนี้สำคัญเพราะเป็นพื้นฐานของการพัฒนา AI ขั้นสูงในอนาคต AI สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามระดับความสามารถ โดยหลัก ๆ จะถูกจัดประเภทตามเกณฑ์ความซับซ้อนและขอบเขตของการประยุกต์ใช้งาน ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่ ระดับแรกคือ AI แบบแคบ (Narrow AI) ซึ่งเป็นรูปแบบที่เราพบเห็นได้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น ระบบจดจำใบหน้าในสมาร์ทโฟน หรือระบบแนะนำสินค้าในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ AI ประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่าง และไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานนอกเหนือขอบเขตที่กำหนดไว้ได้ ระดับที่สองคือ AI แบบทั่วไป (General AI) ซึ่งหมายถึง AI ที่สามารถเรียนรู้และประมวลผลข้อมูลได้ในหลากหลายบริบท คล้ายกับความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ปัจจุบัน AI ประเภทนี้ยังอยู่ในขั้นของการวิจัยและพัฒนา ระดับที่สามคือ AI แบบเหนือมนุษย์ (Superintelligent AI) ซึ่งเป็นแนวคิดเชิงทฤษฎีที่คาดการณ์ว่า AI อาจมีศักยภาพในการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้าน อย่างไรก็ตาม ประเภท AI นี้ยังไม่เกิดขึ้นจริง และเป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงกันมากในเชิงจริยธรรมและความปลอดภัย เบื้องหลังการทำงานของ AI คือกระบวนการที่ซับซ้อนของการประมวลผลข้อมูล การเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมาก และการสร้างรูปแบบ (Patterns) ที่สามารถนำไปใช้ทำนายหรือวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคตได้ โดยทั่วไปแล้ว AI จะประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ ได้แก่ ข้อมูล (Data): เป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่สุด AI ต้องการข้อมูลจำนวนมากเพื่อเรียนรู้  อัลกอริธึม (Algorithms): คือชุดคำสั่งหรือสูตรที่กำหนดวิธีการเรียนรู้และวิเคราะห์  พลังการประมวลผล (Computing Power): ใช้เพื่อเร่งการเรียนรู้และประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน  ตัวอย่างเช่น เมื่อเราสอน AI ให้รู้จักผลไม้ ระบบจะรับภาพหลายพันภาพของผลไม้ชนิดต่าง ๆ และเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของแต่ละชนิด จากนั้น เมื่อมีภาพใหม่เข้ามา AI จะสามารถจำแนกได้ว่าเป็นผลไม้ประเภทใดโดยอิงจากรูปแบบที่เคยเรียนรู้มา AI ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่การใช้งานแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน ระบบแปลภาษา การจดจำเสียงผู้พูด ไปจนถึงการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลในองค์กร หรือแม้แต่การช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคจากภาพถ่าย MRI นอกจากนี้ยังมีการนำ AI ไปใช้ในภาคการเงิน เช่น การตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์ หรือในภาคอุตสาหกรรมเพื่อควบคุมกระบวนการผลิตโดยอัตโนมัติ ทำให้ประหยัดเวลา ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจขององค์กร ที่มา – https://aws.amazon.com/th/what-is/artificial-intelligence/

Scroll to Top