Worldcoin

Author name: Aom

Project Updates

อัปเดตโปรเจกต์ Worldcoin ล่าสุด ความคืบหน้าและแนวโน้มอนาคต

เมื่อพูดถึงเทคโนโลยียืนยันตัวตนระดับโลก (Proof of Personhood) ชื่อของ Worldcoin มักจะปรากฏอยู่ในแถวหน้าเสมอ ด้วยวิสัยทัศน์ของการสร้างระบบระบุตัวตนที่กระจายศูนย์และสามารถใช้ได้ทั่วโลก ทีมพัฒนาเบื้องหลัง Worldcoin ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาระบบที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และเข้าถึงได้ทุกคน ตั้งแต่การเปิดตัวในปี 2023 จนถึงปัจจุบัน ความคืบหน้า Worldcoin มีความหลากหลาย ทั้งในด้านเทคโนโลยีและการขยายตัวเชิงภูมิศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงต้นปี 2025 ที่มีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ การขยายพื้นที่ให้บริการ และการทดสอบฟังก์ชันเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ World ID ในชีวิตประจำวัน หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการขยายเครือข่ายของอุปกรณ์ Orb ซึ่งใช้ในการสแกนม่านตาเพื่อยืนยันตัวตน ขณะนี้มีจุดให้บริการเพิ่มขึ้นในอเมริกาเหนือ ยุโรป ละตินอเมริกา และเริ่มมีการทดสอบในบางประเทศในเอเชีย และแอฟริกา โดยเป้าหมายของทีมพัฒนาคือการทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบได้โดยไม่จำกัดสัญชาติหรือภูมิประเทศ ในไตรมาสแรกของปี 2025 Worldcoin ได้เปิดตัว Orb Mini ซึ่งเป็นอุปกรณ์รุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กลงจากรุ่นดั้งเดิม มีน้ำหนักเบา พกพาง่าย และสามารถติดตั้งในพื้นที่จำกัด เช่น ร้านค้า จุดบริการ หรือกิจกรรมกลางแจ้ง โดยไม่ต้องอาศัยเครือข่ายสัญญาณอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา Orb Mini ได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่ายขึ้นและสามารถประมวลผล Iris Code ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กระบวนการยืนยันตัวตนสะดวกยิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้งานรายใหม่ นอกจากนี้ยังรองรับการทำงานร่วมกับ World App ได้อย่างสมบูรณ์ จากรายงานล่าสุด ข่าวโครงการ Worldcoin ระบุว่าทางทีมพัฒนากำลังดำเนินการทดสอบการใช้งาน World ID ร่วมกับบริการต่าง ๆ เช่น ระบบลงทะเบียนบัญชีออนไลน์, การโหวตในองค์กรแบบ DAO (Decentralized Autonomous Organization), และการยืนยันตัวตนสำหรับรับสิทธิพิเศษในแอปพลิเคชัน Web3 ที่เน้นการตรวจสอบความเป็นมนุษย์ สิ่งที่น่าจับตามองคือการเริ่มต้นทดลอง World ID 3.0 ซึ่งจะมีความสามารถเพิ่มเติมในการยืนยันตัวตนผ่านอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ไม่ต้องใช้การสแกนม่านตา เช่น การจับคู่ข้อมูล NFC หรือการใช้รหัสความปลอดภัยระดับสูงจากอุปกรณ์พกพา ซึ่งช่วยเพิ่มความหลากหลายและความยืดหยุ่นในการเข้าร่วมระบบ แม้ว่า WLD Token จะมีการแจกให้กับผู้ที่ยืนยันตัวตนสำเร็จ แต่เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในระบบ ทางทีมพัฒนาได้ปรับเงื่อนไขการ แจกเหรียญ Worldcoin ให้มีความเหมาะสมมากขึ้นในแต่ละสัปดาห์ โดยดูจากจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น ความสมดุลของเศรษฐกิจในระบบ และปริมาณเหรียญที่หมุนเวียนอยู่ในตลาด ในปัจจุบัน การ รับ Worldcoin ฟรี ยังคงสามารถทำได้ผ่านแอป World App โดยระบบจะเปิดให้ผู้ใช้งานเคลม WLD Token ได้แบบรายสัปดาห์ ซึ่งเป็นกลไกที่สนับสนุนการเข้าร่วมอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องซื้อขายเหรียญเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ความโปร่งใสในการจัดการปริมาณเหรียญยังคงเป็นจุดที่ทีมพัฒนาให้ความสำคัญ โดยเปิดเผยข้อมูลผ่านเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ และจัดให้มีระบบการตรวจสอบโดยชุมชนเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของระบบ อีกหนึ่งความคืบหน้าที่สำคัญของโปรเจกต์ Worldcoin คือการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานระดับสากล โดยเฉพาะในประเด็นการกำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคลและการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบ Orb และ World ID จากข่าวโครงการ Worldcoin ล่าสุด มีรายงานว่าทางทีมได้เข้าสู่กระบวนการหารือกับหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลในยุโรป เช่น CNIL ของฝรั่งเศส และหน่วยงานจากเยอรมนี เพื่อตรวจสอบการใช้งานข้อมูลชีวมาตรอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงยืนยันว่าระบบไม่มีการเก็บภาพม่านตาไว้ถาวร การเปิดกว้างให้มีการตรวจสอบจากหน่วยงานเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ดีว่า Worldcoin มีความตั้งใจในการพัฒนาระบบที่เคารพสิทธิของผู้ใช้งานในระดับสากลอย่างแท้จริง แม้ว่า Worldcoin จะได้รับการตอบรับที่ดีจากชุมชนผู้พัฒนาและผู้ใช้งานในหลายประเทศ แต่ก็ยังมี ความท้าทาย ที่ต้องจัดการอย่างต่อเนื่อง เช่น ความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวมาตร และข้อจำกัดในการเข้าถึง Orb ในบางพื้นที่ เพื่อรับมือกับประเด็นเหล่านี้ ทีม Worldcoin จึงได้เพิ่มความพยายามในการสื่อสารกับสาธารณะ จัดทำคู่มือที่ชัดเจน ตอบคำถามที่พบบ่อยผ่านเว็บไซต์ และทำงานร่วมกับภาคชุมชนท้องถิ่นเพื่อให้ข้อมูลอย่างถูกต้องและเป็นธรรม นอกจากนี้ยังมีแผนในการกระจายการดำเนินงานไปยังกลุ่ม Community Operator ซึ่งเป็นบุคคลหรือองค์กรในท้องถิ่นที่สามารถจัดการการติดตั้งและดูแล Orb ได้ด้วยตนเอง เพื่อขยายการเข้าถึงในระดับชุมชนอย่างแท้จริง เมื่อดูจากความคืบหน้า Worldcoin ในช่วงต้นปี 2025 จะเห็นได้ว่าทีมพัฒนาเดินหน้าตามเป้าหมายระยะยาวอย่างมั่นคง ทั้งในแง่ของเทคโนโลยี การสร้างความน่าเชื่อถือ และการปรับสมดุลเศรษฐกิจในระบบ หากแผนงานสำคัญยังคงดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น เช่น การขยาย Orb Mini, การเปิดใช้ World ID บนหลายบริการ, และการกำกับดูแลตามกรอบกฎหมายในหลายประเทศ ก็มีแนวโน้มว่า Worldcoin จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านตัวตนดิจิทัลที่มีบทบาทสูงในโลก Web3 การสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยี ความเป็นส่วนตัว และการเข้าถึงที่ทั่วถึงคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาโปรเจกต์นี้ และความโปร่งใสในการอัปเดตข้อมูลอย่างต่อเนื่องจะทำให้ชุมชนผู้ใช้งานทั่วโลกสามารถมีส่วนร่วมในการเติบโตของระบบอย่างยั่งยืน Worldcoin ยังคงเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่น่าจับตาในวงการเทคโนโลยีดิจิทัล โดยมีความคืบหน้าในหลายด้าน ทั้งการพัฒนาอุปกรณ์ Orb, การเปิดตัว Orb Mini, การปรับสมดุลระบบ WLD Token, และการขยายขอบเขตของ World ID ไปยังบริการต่างๆ สำหรับผู้ที่ติดตาม อัปเดตโปรเจกต์ Worldcoin อย่างต่อเนื่อง บทความนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการเติบโตของระบบยืนยันตัวตนระดับโลกที่มุ่งเน้นความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และการใช้งานได้จริงในทุกภูมิภาคทั่วโลก ติดตามข่าวโครงการ Worldcoin ได้ผ่านแอป World App และเว็บไซต์ทางการ เพื่อไม่พลาดทุกการอัปเดตสำคัญ และเตรียมพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของระบบยืนยันตัวตนแห่งอนาคตตั้งแต่วันนี้ ที่มา – https://www.theblock.co/post/314813/worldcoin-seeks-facebook-like-scale-for-global-reach

How-to Guides

จุดสแกน ORB ในไทย: อัปเดตแผนที่ล่าสุดใกล้บ้านคุณ

โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่การพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ (Proof of Personhood) กลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในระบบ Web3 และแอปพลิเคชันที่ต้องการยืนยันตัวตนผู้ใช้งานอย่างปลอดภัยและโปร่งใส หนึ่งในเทคโนโลยีที่เป็นที่กล่าวถึงในวงกว้างคือ Worldcoin ซึ่งมาพร้อมกับอุปกรณ์ที่เรียกว่า ORB สำหรับการสแกนม่านตาและสร้าง World ID แบบไม่เปิดเผยตัวตน ก่อนจะเข้าสู่รายละเอียดของจุดสแกน ORB ในประเทศไทย เรามาทำความเข้าใจพื้นฐานของเทคโนโลยีนี้กันก่อน ORB คืออุปกรณ์ทรงกลมที่มีระบบกล้องและซอฟต์แวร์สำหรับจับภาพม่านตาของผู้ใช้งาน จากนั้นแปลงข้อมูลทางชีวมาตรเป็นรหัสที่เรียกว่า Iris Code ซึ่งไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นภาพดวงตาได้ ระบบนี้เชื่อมต่อกับแอป World App เพื่อสร้าง World ID สำหรับใช้งานในโลกดิจิทัล โดยไม่จำเป็นต้องแสดงตัวตนที่แท้จริง เช่น ชื่อ เบอร์โทรศัพท์ หรือเอกสารราชการ การสร้าง World ID จะต้องผ่านขั้นตอนการสแกนกับ ORB และสำหรับผู้ที่อยู่ในประเทศไทย การรู้ว่า จุดสแกน ORB ในไทย อยู่ที่ไหนบ้างจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก จากข้อมูลที่อัปเดตล่าสุดผ่าน World App และแหล่งข่าวต่างประเทศ Worldcoin ได้เริ่มนำ ORB เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2025 และมีแผนขยายจุดสแกนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และย่านที่มีการใช้งานเทคโนโลยี Web3 อย่างแพร่หลาย ในกรุงเทพฯ เริ่มมี ORB ให้บริการตามศูนย์การค้าและพื้นที่ชุมชนเทคโนโลยี เช่น บริเวณอโศก ทองหล่อ และสยาม นอกจากนี้ยังมีจุดสแกนในจังหวัดหลัก ๆ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต และหาดใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวต่างชาติและนักพัฒนาเทคโนโลยีในภูมิภาค การค้นหา ORB ที่ไหน จึงสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านแอป World App ซึ่งมีฟีเจอร์แผนที่แบบเรียลไทม์ บอกจุดให้บริการที่เปิดอยู่ พร้อมแสดงช่วงเวลาให้บริการและจำนวนผู้รอใช้งานในขณะนั้น ผู้ที่ต้องการข้อมูลเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ สามารถดูแผนที่จุดสแกน ORB ผ่าน World App ซึ่งมีการอัปเดตเป็นระยะ โดยจุดที่มีการเปิดใช้งานจริงแล้ว ได้แก่: ย่านสุขุมวิท: จุดที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มชาวต่างชาติและนักเทค สยาม: มีการจัดกิจกรรม Worldcoin Pop-up สำหรับสแกนแบบไม่ต้องนัด ลาดพร้าว: มีศูนย์ทดลองใช้งานร่วมกับ Co-working space บางนา และรัชดา: จุดบริการใหม่ที่เริ่มเปิดในช่วงไตรมาสที่สองของปี สำหรับ ตารางจุดสแกน จะขึ้นอยู่กับแคมเปญในแต่ละช่วง โดยสามารถดูรายละเอียดได้จาก World App ซึ่งจะแจ้งวัน-เวลาที่ ORB ให้บริการ และลิงก์สำหรับการนัดหมายล่วงหน้า ทั้งนี้บางจุดสามารถ Walk-in ได้โดยไม่ต้องจองล่วงหน้า เมื่อคุณรู้แล้วว่า สแกน World ID ที่ไหน ได้บ้าง ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเข้าสู่ระบบ Worldcoin อย่างราบรื่น เริ่มต้นด้วยการดาวน์โหลดแอป World App ลงในสมาร์ตโฟนของคุณ จากนั้นลงทะเบียนด้วยการสร้างกระเป๋าเงิน (wallet) และยืนยันการเข้าใช้งานแบบเบื้องต้น เมื่อพร้อมแล้วให้ใช้ฟีเจอร์ “Find ORB” เพื่อดูจุดที่ใกล้ที่สุด หลังจากเลือกจุดสแกนแล้ว คุณสามารถนัดหมายวันเวลาผ่านแอป หรือไปเข้าคิวที่จุดให้บริการโดยตรง การสแกนม่านตาจะใช้เวลาประมาณ 60 วินาที และระบบจะส่ง World ID ไปยังบัญชีของคุณโดยอัตโนมัติภายในไม่กี่นาที มีผู้ใช้งานจำนวนไม่น้อยที่ได้ทดลองสแกนกับ ORB แล้วในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า ขั้นตอนมีความชัดเจน เจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำดี และระบบทำงานรวดเร็ว หลายคนรู้สึกประทับใจกับแนวคิดของ World ID ที่ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ในขณะที่บางคนยังมีความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวของม่านตา แต่เมื่อเข้าใจว่า Iris Code ที่ระบบเก็บไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นภาพตาได้ ก็รู้สึกสบายใจมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้ที่พบว่าการเคลม Token หรือสิทธิประโยชน์หลังจากได้ World ID ผ่านแอป World App นั้นใช้งานง่ายและมีคู่มืออธิบายอย่างครบถ้วน Worldcoin มีแผนขยาย จุดสแกน ORB ในไทย อย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นไปยังจังหวัดที่มีนักพัฒนาและผู้ใช้งาน Web3 เพิ่มขึ้น เช่น เชียงราย นครราชสีมา และอุดรธานี รวมถึงมีแนวโน้มที่จะเริ่มนำ ORB Mini ซึ่งเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กลงมาให้บริการในจุดต่าง ๆ เช่น ร้านกาแฟ Co-working space และสถานศึกษา นอกจากนี้ยังมีการเปิดให้ผู้สนใจสมัครเป็น Community Operator ซึ่งจะสามารถนำ ORB ไปให้บริการในชุมชนของตนเอง โดยมีระบบสนับสนุนจาก Worldcoin ทั้งในด้านฮาร์ดแวร์ การฝึกอบรม และการกระจายเหรียญสำหรับผู้เข้าร่วม การสแกน World ID ผ่าน ORB กำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในไทยที่รวมเทคโนโลยีชีวมาตร ความเป็นส่วนตัว และระบบยืนยันตัวตนที่ปลอดภัยไว้ในจุดเดียว วันนี้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาว่า ORB ที่ไหน ให้บริการผ่าน World App ได้ง่าย ๆ พร้อมดูแผนที่ ORB กรุงเทพ แผนที่ และ ตารางจุดสแกน ที่อัปเดตล่าสุด เพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าสู่โลกของ World ID หากคุณสนใจเทคโนโลยีที่เคารพข้อมูลส่วนตัวและให้คุณยืนยันตัวตนอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องเปิดเผยชื่อหรือเอกสารส่วนตัว จุดสแกน ORB ในไทยคือโอกาสที่คุณไม่ควรพลาด ที่มา – https://time.com/7288387/sam-altman-orb-tools-for-humanity/?_trms=7712c57510b91c6e.1750853231332

How-to Guides

คู่มือ World App ฉบับเต็ม: ใช้งานอย่างไร สแกน World ID รับ WLD ยังไงบ้าง

ในยุคที่เทคโนโลยีบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซีกำลังเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในระบบของ Worldcoin ก็คือ World App แอปพลิเคชันที่เปรียบเสมือนประตูสู่การยืนยันตัวตนระดับโลกผ่านระบบ World ID และยังเป็นช่องทางหลักในการรับโทเคนดิจิทัลอย่าง WLD World App เป็นแอปกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานร่วมกับระบบของ Worldcoin โดยเฉพาะ จุดเด่นคือการเชื่อมโยงกับ World ID ซึ่งเป็นการยืนยันตัวตนแบบชีวมาตรผ่านการสแกนม่านตาด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Orb นอกจากฟีเจอร์ด้านการยืนยันตัวตนแล้ว World App ยังเป็นช่องทางหลักในการรับและจัดเก็บเหรียญ WLD ตลอดจนทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การโอนเหรียญ แลกเปลี่ยน หรือใช้งานบนแพลตฟอร์ม Web3 ที่รองรับ การใช้งาน World App เริ่มจากการดาวน์โหลดแอปผ่าน Google Play หรือ App Store หลังจากติดตั้งเสร็จแล้ว ให้ทำการเปิดแอปและสร้างบัญชีใหม่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลส่วนตัวอย่างเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมลในขั้นตอนแรก เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว แอปจะสร้างกระเป๋าเงินดิจิทัลที่เชื่อมกับบัญชี World ID ของคุณในอนาคตโดยอัตโนมัติ ขั้นตอนเหล่านี้สามารถทำได้ภายในไม่กี่นาที และออกแบบมาให้ใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทั่วโลก หัวใจของระบบคือการสร้าง World ID ที่เชื่อถือได้ โดยผ่านขั้นตอนการสแกนม่านตากับอุปกรณ์ Worldcoin Orb ผู้ใช้งานสามารถค้นหาได้ว่า Orb ตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง ผ่านหน้าแผนที่ในแอป World App โดยระบบจะแสดงจุดให้บริการแบบเรียลไทม์ เมื่อเลือกจุดที่ต้องการแล้วสามารถนัดหมายวันเวลาเพื่อเข้าไปสแกนได้ทันที ในวันนัดหมาย ให้นำโทรศัพท์ไปแสดง QR Code ที่แอปสร้างให้กับเจ้าหน้าที่ Orb จากนั้นทำการสแกนม่านตา กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาไม่เกิน 60 วินาที และจะมีการแจ้งเตือนเมื่อ World ID ถูกสร้างเรียบร้อยและผูกเข้ากับบัญชีของคุณในแอป เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน เราสามารถอธิบายกระบวนการ รับ WLD ยังไงบ้าง ในแบบ infographic ได้ดังนี้: ดาวน์โหลดและติดตั้ง World App ลงทะเบียนและเข้าสู่ระบบ ค้นหาจุด Orb ใกล้คุณผ่านแผนที่ นัดหมายและไปสแกนม่านตา หลังสแกนเสร็จ ระบบจะสร้าง World ID จากนั้นเข้าเมนู “Claim” ในแอป ตรวจสอบสิทธิ์เคลมรายสัปดาห์ และกดรับเหรียญ WLD WLD จะถูกเพิ่มเข้ากระเป๋าโดยอัตโนมัติ การเคลมเหรียญจะมีรอบรายสัปดาห์ หากไม่ทำการเคลมในเวลาที่กำหนด ระบบจะถือว่าสละสิทธิ์ในรอบนั้น ดังนั้นควรตั้งการแจ้งเตือนหรือเข้าแอปเป็นประจำ หลังจากสร้างบัญชีและได้รับ World ID แล้ว ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติมได้ เช่น การตั้งรหัสผ่าน, การเปิดใช้งาน Biometric lock, หรือการตั้งค่าการแจ้งเตือนต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าบัญชีจะไม่ถูกเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์หรือโทรศัพท์มือถือ ระบบจะขอให้ยืนยันตัวตนผ่าน World ID เดิม เพื่อให้สามารถเข้าถึงกระเป๋าเงินและเหรียญเดิมได้โดยไม่สูญหาย เมื่อมีเหรียญ WLD ในกระเป๋าแล้ว ผู้ใช้งานสามารถนำไปใช้ในหลายรูปแบบ เช่น การโอนให้ผู้อื่น, ใช้ในแอปพลิเคชันที่รองรับ World ID, หรือโอนออกไปยังกระดานแลกเปลี่ยนเพื่อแลกกับเหรียญอื่นหรือเงินบาท (ผ่านแพลตฟอร์มกลางที่เชื่อมกับ WLD) ในอนาคต Worldcoin มีแผนที่จะเปิดใช้งานฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น World App Card ที่ทำงานเหมือนบัตรเดบิตดิจิทัล และการใช้ World ID เป็นตัวตนหลักในการเข้าถึงแอป Web3 และบริการต่าง ๆ ที่ต้องการการยืนยันว่าเป็น “มนุษย์จริง” ผู้ใช้งานบางรายอาจพบปัญหา เช่น สแกนไม่ผ่าน, แอปไม่สามารถค้นหา Orb ใกล้คุณได้, หรือไม่สามารถเคลมเหรียญตามรอบที่กำหนด ในกรณีเหล่านี้ World App มีเมนู “ช่วยเหลือ” ที่สามารถกดติดต่อทีมสนับสนุนโดยตรง หรือศึกษาวิธีแก้ไขจากฐานข้อมูลคำถามที่พบบ่อย อีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อยคือการลืมตั้งค่าความปลอดภัย เช่น การสำรอง seed phrase หากโทรศัพท์สูญหายและไม่ได้บันทึก seed phrase ไว้ อาจทำให้ไม่สามารถกู้คืนกระเป๋าได้ ดังนั้นผู้ใช้งานควรจดบันทึกไว้ในที่ปลอดภัยตั้งแต่ต้น World App เป็นเครื่องมือสำคัญที่เชื่อมโลกแห่งบล็อกเชนกับตัวตนของมนุษย์อย่างแท้จริง ด้วยความสามารถในการสร้าง World ID ผ่านการสแกนม่านตา และระบบการแจกจ่าย WLD Token อย่างยุติธรรมและโปร่งใส ที่มา – https://www.bitkub.com/th/blog/what-is-wld-c431d1cee150

Analysis

บทความวิเคราะห์ Worldcoin กับบทบาทใหม่ในโลก Blockchain และ AI

โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคที่การยืนยันความเป็นมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหมายเลขบัตรประชาชนหรือรหัสผ่านอีกต่อไป หากแต่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยีที่ลึกซึ้งและล้ำสมัยอย่าง Blockchain และ AI อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในโครงการที่กล้าท้าทายแนวคิดดั้งเดิมเหล่านี้คือ Worldcoin — ระบบที่มีเป้าหมายสร้างความเป็นธรรมในการยืนยันตัวตนของมนุษย์ทั่วโลกผ่านการใช้ชีวมาตรและแจกจ่ายโทเคนดิจิทัลเพื่อสร้างแรงจูงใจในการมีตัวตนในโลกออนไลน์อย่างแท้จริง Worldcoin เป็นโปรเจกต์ที่ก่อตั้งโดย Sam Altman (CEO ของ OpenAI) ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการสร้างระบบพิสูจน์ตัวตนที่เชื่อถือได้ผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า Orb เครื่องสแกนม่านตาที่ใช้ข้อมูลชีวมาตรในการสร้างรหัสดิจิทัลเฉพาะบุคคล หรือที่เรียกว่า Iris Code และเชื่อมโยงกับบัญชี World ID ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวในระบบ ในระดับเทคโนโลยี Worldcoin พยายามนำ บทความ Blockchain ที่เป็นพื้นฐานด้านความปลอดภัยและการกระจายอำนาจมาใช้ควบคู่กับ การวิเคราะห์ AI เพื่อประมวลผลชีวมาตรและสร้างรหัสที่ไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นภาพต้นฉบับได้ นั่นหมายความว่าความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานยังคงได้รับการคุ้มครอง แม้จะมีการใช้ข้อมูลชีวมาตรระดับสูงก็ตาม Blockchain ในโครงการ Worldcoin ไม่ได้มีหน้าที่แค่เก็บข้อมูล แต่ยังเป็นเครื่องมือในการกระจายอำนาจของการยืนยันตัวตน โดยไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง ระบบ World ID ที่เชื่อมโยงกับ WLD Token จะทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างเท่าเทียม ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใดหรือมีรายได้เท่าใดก็ตาม บทความวิเคราะห์ Worldcoin ต้องกล่าวถึงจุดนี้อย่างละเอียด เพราะถือเป็นการใช้งาน Blockchain ในรูปแบบใหม่ที่ไม่ใช่แค่การโอนเงินหรือเก็บทรัพย์สินดิจิทัล แต่เป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานของ “ตัวตน” ในโลกดิจิทัล ที่สามารถตรวจสอบได้และกระจายศูนย์กลางอย่างแท้จริง ด้าน AI ระบบที่ขับเคลื่อนเบื้องหลัง Orb คือการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อวิเคราะห์ม่านตาของผู้ใช้งาน และแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้กลายเป็นรหัสดิจิทัลที่ไม่มีใครสามารถแปลย้อนกลับได้ อีกทั้ง AI ยังมีบทบาทในการป้องกันการแอบอ้างตัวตน หรือการสมัครหลายบัญชีด้วยชีวมาตรซ้ำกัน การ วิเคราะห์ AI ในบริบทนี้จะต้องตั้งคำถามสำคัญหลายประการ เช่น AI เหล่านี้สามารถลำเอียงหรือไม่? ข้อมูลชีวมาตรถูกจัดเก็บไว้อย่างไร? ใครควรเป็นเจ้าของข้อมูลชีวมาตรเหล่านี้? เพราะหากไม่มีการควบคุมที่เหมาะสม เทคโนโลยีอาจกลายเป็นเครื่องมือในการสอดส่องหรือควบคุมแทนที่จะปลดปล่อยเสรีภาพ หนึ่งในแนวคิดหลักของ Worldcoin คือการทำให้คนทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการยืนยันตัวตนที่เท่าเทียม ไม่จำกัดเพียงผู้ที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเอกสารราชการ การกระจาย Orb ไปยังประเทศที่มีรายได้ต่ำ หรือกลุ่มประชากรที่เข้าไม่ถึงบริการดิจิทัล คือส่วนหนึ่งของแผนงานนี้ อย่างไรก็ตาม บทความวิเคราะห์ Worldcoin ไม่สามารถมองข้ามข้อกังขาทางจริยธรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงจูงใจในการให้คนยินยอมแลกม่านตากับเหรียญ หรือการควบคุมของข้อมูลที่อาจถูกรวบรวมไว้ในระบบเดียว ซึ่งย้อนแย้งกับแนวคิดการกระจายอำนาจของ Blockchain หลายประเทศในยุโรป เอเชีย และแอฟริกาเริ่มตั้งคำถามต่อการทำงานของ Worldcoin โดยเฉพาะเรื่องการจัดเก็บข้อมูลชีวมาตร แม้บริษัทจะอ้างว่ามีการเข้ารหัสและลบภาพหลังแปลงเป็นรหัสแล้ว แต่หลายฝ่ายยังคงกังวลถึงความปลอดภัยในระยะยาว ความไม่แน่นอนทางกฎหมายในแต่ละประเทศอาจส่งผลต่อการขยายตัวของ Worldcoin ซึ่งในบางกรณีมีการสั่งระงับการใช้งานชั่วคราว หรือเรียกสอบสวนข้อมูลภายใน นี่คือจุดสำคัญที่ บทความ Blockchain ต้องพูดถึงในเชิงลึก เพราะกฎหมายอาจเป็นตัวแปรสำคัญในการยับยั้งหรือกำหนดทิศทางของเทคโนโลยีนี้ในอนาคต บทความวิเคราะห์ Worldcoin นี้ได้ชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนที่เกิดจากการรวมเอาเทคโนโลยีระดับสูงอย่าง Blockchain และ AI เข้ากับระบบชีวมาตรเพื่อสร้างแนวคิดใหม่ในการยืนยันตัวตน แม้แนวคิดจะน่าทึ่งและมีศักยภาพในการสร้างระบบที่เท่าเทียมและปลอดภัย แต่ในทางปฏิบัติ ยังมีคำถามที่ต้องการคำตอบเกี่ยวกับการควบคุมข้อมูล, จริยธรรมของการใช้งาน, และความเสี่ยงจากการรวมศูนย์ในระบบที่อ้างว่าเป็นแบบกระจาย ที่มา – https://www.forbes.com/councils/forbesbusinesscouncil/2025/01/15/five-web3-trends-to-watch-in-2025-ai-depins-rwas-and-beyond/

Latest News

ข่าว Worldcoin ล่าสุด อัปเดตความเคลื่อนไหวคริปโตและ AI ทั่วโลก

โลกเทคโนโลยีที่หมุนเร็วแทบไม่หยุด “Worldcoin” กลายเป็นหนึ่งในคำที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในแวดวงคริปโตและนวัตกรรมด้านการยืนยันตัวตนดิจิทัล ด้วยจุดเด่นที่เชื่อมโยงเทคโนโลยีชีวมาตร AI และ Blockchain เข้าด้วยกัน ทำให้โปรเจกต์นี้ไม่เพียงเป็นกระแสในวงการคริปโต แต่ยังได้รับความสนใจจากสื่อทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ช่วงกลางปี 2025 Worldcoin ได้รับความสนใจอีกครั้งเมื่อมีการเปิดตัว “Orb Mini” ซึ่งเป็นอุปกรณ์สแกนม่านตาขนาดเล็กกว่ารุ่นเดิมอย่างมาก โดยถูกออกแบบมาให้พกพาสะดวก เหมาะสำหรับร้านค้า, จุดบริการชุมชน และกิจกรรมภาคสนาม ซึ่งถือเป็นการขยายตัวที่ชัดเจนของโครงการสู่การใช้งานระดับท้องถิ่นทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า Worldcoin กำลังดำเนินการเปิดตัวในสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ พร้อมมาตรการความปลอดภัยและการตรวจสอบทางกฎหมาย ซึ่งได้รับการจับตามองจากสื่อหลายสำนัก โดยเฉพาะเมื่อมีการออกนโยบายเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลชีวมาตรที่เข้มงวดในบางรัฐ ข่าว Blockchain ที่โดดเด่นในช่วงเวลาเดียวกันคือความพยายามขององค์กรต่าง ๆ ที่ต้องการพัฒนาระบบยืนยันตัวตนแบบไร้ตัวกลาง (Decentralized Identity) เพื่อใช้ร่วมกับแอปพลิเคชันทางการเงิน, บริการรัฐ, และแพลตฟอร์ม Web3 ซึ่ง Worldcoin ถือเป็นโครงการแรก ๆ ที่นำระบบดังกล่าวมาใช้จริงโดยอาศัยฮาร์ดแวร์เฉพาะและเทคโนโลยี iris scanning โครงการ Blockchain อื่น ๆ เช่น Polygon ID และ zkSync ก็เริ่มทดลองระบบยืนยันตัวตนของตนเอง โดยพยายามลดการพึ่งพาโครงสร้างรวมศูนย์ ทำให้เกิดการแข่งขันเชิงเทคโนโลยีที่น่าสนใจ และมีการเปรียบเทียบกับแนวทางของ Worldcoin อย่างต่อเนื่องในหลายเวที หากพูดถึง ข่าว AI ที่เกี่ยวข้องกับ Worldcoin ในช่วงเวลานี้ คงหนีไม่พ้นการที่ Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI มีบทบาทสำคัญในโปรเจกต์ Worldcoin ด้วยแนวคิดที่ต้องการสร้าง “ระบบตรวจสอบความเป็นมนุษย์” ในโลกที่ AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ในหลายบทสัมภาษณ์ Altman ได้ย้ำว่าเมื่อ AI สามารถสร้างคอนเทนต์ปลอม หรือแม้แต่แชทบอทที่เสมือนมนุษย์มากขึ้น “การพิสูจน์ว่าใครคือคนจริง” กลายเป็นความจำเป็นพื้นฐานในระบบเศรษฐกิจและสังคมยุคดิจิทัล ล่าสุดมีการทดลองระบบ “AI Passport” ที่จะเชื่อมโยง World ID เข้ากับระบบการระบุผู้ใช้จริงในแอปพลิเคชันต่าง ๆ เพื่อป้องกันการสแปมหรือการสร้างบัญชีปลอม โดยเฉพาะในวงการการเมือง, การศึกษา และแม้แต่สื่อสังคมออนไลน์ แม้ Worldcoin จะได้รับความสนใจอย่างมากจากกลุ่มผู้สนับสนุนเทคโนโลยี แต่ก็มีกระแส วิพากษ์ และข้อถกเถียงในระดับสากล โดยเฉพาะในยุโรปและเอเชียที่เริ่มตั้งคำถามต่อการเก็บข้อมูลชีวมาตร แม้ระบบจะมีการเข้ารหัสอย่างแน่นหนา องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนบางแห่งได้แสดงความกังวลว่าโครงการอาจถูกนำไปใช้ในลักษณะที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่ผู้สนับสนุนกลับมองว่า Worldcoin เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประชากรที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินแบบเดิม ในเชิงการเมือง รัฐบาลในบางประเทศยังอยู่ระหว่างพิจารณาว่าควรอนุญาตให้มีการใช้งาน Orb และ World ID หรือไม่ โดยยกประเด็นเรื่องความโปร่งใสของโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลและการกระจายอำนาจของระบบขึ้นมาเป็นหัวข้อสำคัญในการถกเถียง นอกจากความเคลื่อนไหวในด้านเทคโนโลยีและนโยบาย Worldcoin ยังได้เปิดตัวความร่วมมือกับธุรกิจระดับโลกหลายรายที่กำลังทดลองการใช้ World ID ในระบบสมาชิก การให้สิทธิ์ผ่านระบบยืนยันตัวตน และการชำระเงิน มีรายงานจาก ข่าว Blockchain ว่าหลายแพลตฟอร์มกำลังรวมระบบ World ID เข้ากับโครงสร้าง NFT, GameFi และแม้แต่ DAO ซึ่งจะทำให้ Worldcoin กลายเป็นเครื่องมือพื้นฐานในหลายระบบที่ต้องการความปลอดภัยและการพิสูจน์ตัวตนแบบอัตโนมัติ ส่วนในด้าน AI มีข่าวว่า Worldcoin ร่วมมือกับสตาร์ตอัพสายเทคโนโลยีเพื่อสร้างระบบ “การระบุมนุษย์ด้วย Machine Learning” ที่สามารถปรับใช้ในบริการต่าง ๆ เช่น บริการตรวจสอบข่าวปลอม (Fake News), ระบบแนะนำผลิตภัณฑ์ และแม้แต่ระบบคัดกรองผู้สมัครงานในอนาคต หลังจากการเปิดตัว Orb Mini และการเริ่มต้นขยายตลาดในอเมริกา Worldcoin วางแผนที่จะขยายไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีประชากรจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงบริการยืนยันตัวตนที่น่าเชื่อถือ ข่าว Worldcoin ล่าสุด ยังเผยว่ามีแผนทดลอง “การสแกนระยะไกล” สำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ Orb ได้ง่าย อีกทั้งยังอยู่ระหว่างพัฒนา World ID เวอร์ชันใหม่ที่สามารถใช้งานร่วมกับบัตร NFC และอุปกรณ์พกพาได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า Worldcoin กำลังเคลื่อนไปสู่การเป็นโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกสำหรับโลกดิจิทัลแห่งอนาคต โดยมีทั้งโอกาสและความท้าทายรออยู่ข้างหน้า Worldcoin ยังคงเป็นหนึ่งในโครงการที่สร้างความสั่นสะเทือนในวงการคริปโต AI และเทคโนโลยียืนยันตัวตน ด้วยการออกแบบระบบที่ผสานเทคโนโลยีล้ำยุคและความทะเยอทะยานในระดับโลก ทำให้ ข่าว Worldcoin ล่าสุด เป็นประเด็นที่ไม่ควรมองข้าม ในบทความนี้ เราได้รวม ข่าว Blockchain, ข่าว AI, และ อัปเดต Worldcoin ที่สำคัญ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถติดตามสถานการณ์ได้อย่างครบถ้วน หากคุณต้องการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่แม่นยำ ทันสมัย และเป็นกลางเกี่ยวกับโครงการระดับโลกนี้ ที่มา – https://cointelegraph.com/news/worldcoin-rebrands-world-unveils-next-generation-orb  

AI

อนาคตของการทำงานและข้อมูลระบุตัวตนในยุค AI

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูล การเขียนบทความ การขับเคลื่อนยานยนต์ หรือแม้กระทั่งการให้คำแนะนำทางการแพทย์ ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของสังคมโลก โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแรงงานและการพิสูจน์ตัวตนในโลกดิจิทัล หนึ่งในประเด็นสำคัญของการเข้าสู่ยุค AI คือผลกระทบต่อรูปแบบของการจ้างงานและประเภทงานที่ยังคงมีความจำเป็นสำหรับมนุษย์ ในปัจจุบันมีหลายอุตสาหกรรมที่เริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน เช่น ธนาคารที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงแทนเจ้าหน้าที่สินเชื่อ หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ระบบอัตโนมัติแทนแรงงานคน แนวโน้มนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า AI กับการจ้างงาน จะอยู่ร่วมกันอย่างไรในระยะยาว ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากมองว่าการหายไปของงานบางประเภทจะมาพร้อมกับการเกิดขึ้นของตำแหน่งงานใหม่ โดยเฉพาะในด้านการดูแลระบบ AI การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก หรือการออกแบบระบบที่ต้องอาศัยวิจารณญาณของมนุษย์ที่เทคโนโลยียังไม่สามารถแทนที่ได้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนี้จำเป็นต้องมีนโยบายรองรับทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ เช่น การฝึกอบรมใหม่สำหรับแรงงานเดิม การสนับสนุนการศึกษาด้านดิจิทัล และการกำหนดมาตรฐานจริยธรรมสำหรับการใช้ AI ในที่ทำงาน เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงาน ระบบการจ้างงานที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีจะต้องมีวิธีที่แน่นอนในการยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน หรือพนักงานแต่ละคน การนำ ข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัล มาใช้จึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างมาก ข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัล หมายถึงชุดข้อมูลที่สามารถใช้ระบุตัวบุคคลได้ในโลกออนไลน์ เช่น รหัสประจำตัวดิจิทัล, ข้อมูลชีวมาตร, ลายเซ็นดิจิทัล หรือแม้แต่ประวัติการทำงานที่อยู่ในรูปแบบบล็อกเชน สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ระบบสามารถยืนยันว่า “คุณคือใคร” ได้อย่างแม่นยำ แม้จะทำงานจากระยะไกลหรือมีความสัมพันธ์กับองค์กรจากหลายประเทศ ในระบบแรงงานสมัยใหม่ ข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัลมีบทบาทหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเข้า-ออกระบบงาน การเข้าถึงข้อมูลเฉพาะ การคำนวณผลตอบแทน และแม้กระทั่งการตรวจสอบประวัติการทำงานก่อนหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบดั้งเดิมทำได้ยากในสเกลระดับโลก แม้ข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัลจะมอบความสะดวกและความแม่นยำในการระบุตัวบุคคลในโลกของการทำงานยุค AI แต่ก็มีข้อกังวลในด้านความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงของข้อมูลอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อองค์กรจำนวนมากเริ่มใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการข้อมูลแรงงานแบบเรียลไทม์ การใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลแรงงาน เช่น พฤติกรรมในที่ทำงานหรือประสิทธิภาพในการทำงาน อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ขาดความเป็นธรรม หากไม่มีการควบคุมหรือเกณฑ์จริยธรรมที่ชัดเจน ในบางกรณี AI อาจมีอคติ (bias) ที่ฝังอยู่ในโมเดลข้อมูล ซึ่งส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางโอกาสในที่ทำงาน ทางออกที่เป็นไปได้คือการกำหนดมาตรฐานสากลสำหรับการใช้งานข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัล ควบคู่กับกฎหมายที่ปกป้องสิทธิของแรงงาน รวมถึงการพัฒนา AI ที่มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ (auditable AI) ในอนาคตอันใกล้ แนวโน้มการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI จะกลายเป็นเรื่องปกติ การจัดทีมงานอาจประกอบด้วยคนจริง ๆ เพียงบางส่วน ที่เหลือคืออัลกอริทึมที่เรียนรู้จากข้อมูลมหาศาล และสามารถให้ข้อเสนอแนะหรือช่วยตัดสินใจในเรื่องที่ซับซ้อนได้ภายในไม่กี่วินาที เราจะเห็นงานประเภทใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ผู้ควบคุมจริยธรรมของ AI, นักออกแบบประสบการณ์ร่วมระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร, หรือแม้กระทั่งนักแปลระหว่างโมเดล AI ต่าง ๆ ที่ใช้ในองค์กรที่แตกต่างกัน การเตรียมตัวสำหรับ อนาคตการทำงาน AI จึงไม่ได้หมายถึงการเรียนรู้แค่ด้านเทคโนโลยี แต่ยังรวมถึงการเข้าใจบทบาทของข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัลในโลกที่ข้อมูลคือรากฐานของทุกระบบ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และจริยธรรม ประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มปรับระบบแรงงานของตนให้รองรับการใช้ AI และข้อมูลดิจิทัลอย่างจริงจัง เช่น สหภาพยุโรปที่กำลังจัดทำกฎหมายควบคุม AI หรือสิงคโปร์ที่มีนโยบายส่งเสริมทักษะดิจิทัลสำหรับแรงงานทุกระดับ ในขณะเดียวกัน ประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงทรัพยากร เช่น อินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพ, ความรู้ทางเทคโนโลยี และความเชื่อมั่นในระบบข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัล ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนของการพัฒนาในอนาคต โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่แรงงานไม่ได้ถูกนิยามแค่ด้วยจำนวนชั่วโมงทำงาน แต่ด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการมีตัวตนดิจิทัลที่ตรวจสอบได้ น่าเชื่อถือ และปลอดภัย อนาคตการทำงาน AI ไม่ใช่แค่เรื่องของการมีเทคโนโลยีมาแทนแรงงานมนุษย์ แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดของทั้งระบบเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการยืนยันตัวตนให้สอดคล้องกับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและอัลกอริทึม ข้อมูลระบุตัวตนดิจิทัล จะกลายเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ต่างจากบัตรประชาชนในโลกจริง เพราะเป็นกุญแจในการเข้าถึงสิทธิ แหล่งงาน และการมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจใหม่ที่ไม่จำกัดเพียงภูมิภาคหรือประเทศอีกต่อไป หากคุณคือแรงงานยุคใหม่หรือผู้นำองค์กร การทำความเข้าใจกับบทบาทของ AI และการจัดการข้อมูลระบุตัวตนอย่างมีจริยธรรม จะเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญที่ช่วยให้คุณเติบโตไปพร้อมกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดยั้ง ที่มา – https://www.dia.co.th/articles/ai-replacing-human/

AI

การผสานรวม AI และบล็อกเชน: นวัตกรรมแห่งอนาคต

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกได้เห็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีสองแขนงสำคัญ ได้แก่ AI (Artificial Intelligence) และ Blockchain (บล็อกเชน) แต่ในปี 2025 สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าเดิม คือการที่สองเทคโนโลยีนี้เริ่ม ผสานรวมกันอย่างลึกซึ้ง กลายเป็นแนวคิดที่เรียกว่า AI Blockchain ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการเทคโนโลยีโลก AI Blockchain คือการผสานพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ากับโครงสร้างข้อมูลแบบกระจายศูนย์ของบล็อกเชน โดย AI เป็นเทคโนโลยีที่สามารถประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล ทำการเรียนรู้ และคาดการณ์ผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ ขณะที่บล็อกเชนมีบทบาทในการสร้างความโปร่งใส ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูล เมื่อรวมกัน เทคโนโลยีทั้งสองสามารถสร้างระบบอัตโนมัติที่ทั้งชาญฉลาดและตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลแบบไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง การตัดสินใจแบบโปรแกรมอัตโนมัติ (smart contracts) หรือการสร้างโมเดลเศรษฐกิจแบบใหม่ที่กระจายอำนาจอย่างแท้จริง แม้ AI และบล็อกเชนจะดูเหมือนเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาในทิศทางคนละด้าน แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไปจะเห็นว่าแต่ละเทคโนโลยีสามารถเข้ามาเสริมจุดแข็งให้กันได้อย่างลงตัว AI เก่งในการวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจอย่างชาญฉลาด แต่ขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ในทางกลับกัน บล็อกเชนเป็นแหล่งเก็บข้อมูลที่ไม่สามารถถูกแก้ไขย้อนหลังได้ แต่ไม่สามารถตีความหรือเรียนรู้จากข้อมูลได้อย่างลึกซึ้งเหมือน AI ดังนั้นเมื่อ AI ทำหน้าที่ในการประมวลผลและสร้างโมเดลการตัดสินใจ ส่วนบล็อกเชนจะทำหน้าที่เก็บและยืนยันผลลัพธ์ให้ทุกฝ่ายมั่นใจได้ในความโปร่งใสและปลอดภัย กลายเป็นระบบที่ทั้งฉลาดและไว้วางใจได้ในเวลาเดียวกัน หนึ่งใน Use Case ที่ชัดเจนของการผสาน AI Blockchain คือ การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) โดย AI สามารถวิเคราะห์ความต้องการของสินค้า คาดการณ์ความล่าช้า และแนะนำการจัดเส้นทางที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่บล็อกเชนจะบันทึกข้อมูลการเคลื่อนไหวของสินค้าแต่ละหน่วยไว้บนระบบที่ไม่สามารถถูกแก้ไขได้ ทำให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้บริโภคสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ทุกขั้นตอน อีกหนึ่งกรณีที่ได้รับความสนใจคือการนำ AI Blockchain ไปใช้ใน การแพทย์ โดยข้อมูลผู้ป่วยจะถูกเก็บอย่างปลอดภัยบนบล็อกเชน และ AI จะเข้ามาช่วยวิเคราะห์เพื่อเสนอแนวทางการรักษาแบบเฉพาะบุคคล ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยยังคงความเป็นส่วนตัวของข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสไว้ ในแวดวงการเงินเอง แนวคิด AI Crypto เริ่มมีบทบาทสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของตลาดและส่งสัญญาณซื้อ-ขายในระบบที่มีบล็อกเชนเป็นฐานข้อมูลแบบโปร่งใส ไปจนถึงการสร้างเหรียญดิจิทัลใหม่ที่ถูกออกแบบโดย AI เพื่อให้เหมาะกับระบบเศรษฐกิจเฉพาะกลุ่ม แม้ศักยภาพของ AI Blockchain จะมีมาก แต่ก็ยังมีอุปสรรคหลายประการที่ต้องแก้ไขก่อนการใช้งานจะเป็นที่แพร่หลายอย่างแท้จริง อาทิ ความซับซ้อนของการบูรณาการระบบ AI เข้ากับเครือข่ายบล็อกเชนที่มีข้อจำกัดเรื่องความเร็วในการประมวลผล และค่าใช้จ่ายของการเขียนข้อมูลจำนวนมากลงบนเครือข่ายแบบกระจายศูนย์ นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่อง จริยธรรม และ การควบคุม ที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ เช่น การให้ AI ตัดสินใจในเรื่องที่มีผลกระทบสูงต่อมนุษย์ โดยไม่มีผู้ควบคุมที่ชัดเจน หรือการทำให้โมเดล AI เรียนรู้จากข้อมูลที่อยู่บนบล็อกเชนซึ่งอาจมีอคติหรือไม่สมบูรณ์ การแก้ปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยการร่วมมือจากทั้งนักพัฒนา วิศวกรด้านข้อมูล นักกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบาย เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความรับผิดชอบ ในปี 2025 แนวคิด AI Crypto กำลังเปลี่ยนจากแค่เทรนด์ไปสู่การเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของโลกการเงินดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบอทซื้อขายที่ขับเคลื่อนด้วย AI และใช้ smart contracts ทำให้การลงทุนไม่ต้องพึ่งคนกลาง การสร้าง NFT ที่เรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตามพฤติกรรมของผู้ใช้ หรือแม้แต่การออกเหรียญใหม่โดยใช้โมเดล AI ประเมินความต้องการของตลาดและจัดสรรอุปทานโดยอัตโนมัติ โครงการอย่าง Fetch.ai, Ocean Protocol, SingularityNET และอื่น ๆ ต่างก็เดินหน้าในทิศทางของการเชื่อมโยง AI และบล็อกเชน เพื่อสร้างเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ไม่มีศูนย์กลางควบคุม แต่ยังสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านอัลกอริทึมที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง แนวโน้มที่น่าจับตาอีกประการคือการนำ AI Blockchain ไปใช้ในภาครัฐ เช่น การจัดการระบบเลือกตั้งดิจิทัลแบบไร้ตัวกลาง การจ่ายเงินช่วยเหลือที่โปร่งใส และการติดตามงบประมาณภาครัฐแบบเรียลไทม์ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถทำได้ภายใต้เงื่อนไขความโปร่งใสสูงสุด AI Blockchain ไม่ใช่แค่การรวมเทคโนโลยีสองแขนงเข้าด้วยกัน แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ของโลกธุรกิจและสังคมในภาพรวม ด้วยการผสานพลังของ AI ที่สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจได้เอง กับระบบ บล็อกเชน ที่ให้ความโปร่งใสและปลอดภัย ทำให้เกิดโอกาสในการสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ทั้งยั่งยืนและยุติธรรม จากการใช้งานในภาคโลจิสติกส์ การแพทย์ การเงิน ไปจนถึงภาครัฐ แนวคิด AI และบล็อกเชน กำลังเปลี่ยนโฉมโลกดิจิทัลในทุกมิติ และ AI Crypto เองก็กำลังกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของเทคโนโลยีการเงินในอนาคต ที่มา – https://www.marketingoops.com/news/biz-news/ai-the-future-of-the-blockchain-industry/

AI

AI จริยธรรมและสังคม: ความท้าทายและโอกาส

เมื่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นเทคโนโลยีหลักที่ขับเคลื่อนโลกยุคดิจิทัล คำถามที่ใหญ่ที่สุดอาจไม่ใช่เพียงว่า AI จะทำอะไรได้บ้าง แต่เป็นคำถามที่ลึกกว่านั้นว่า “ควร ทำอะไรหรือไม่?” การพัฒนา AI ในวันนี้จึงไม่สามารถแยกออกจากประเด็น AI จริยธรรม ซึ่งกลายเป็นหัวข้อสำคัญในทั้งวงวิชาการ ธุรกิจ และนโยบายสาธารณะ  AI จริยธรรม หมายถึงหลักการและแนวคิดด้านศีลธรรมที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ พัฒนา และใช้งานระบบปัญญาประดิษฐ์ โดยเน้นที่การปกป้องสิทธิมนุษยชน ความเป็นธรรม ความโปร่งใส และความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจของอัลกอริทึม การใช้ข้อมูลส่วนบุคคล หรือแม้แต่การควบคุมหุ่นยนต์ในอนาคต ทุกขั้นตอนในห่วงโซ่ของ AI ล้วนมีผลต่อความไว้วางใจของสังคม หากขาดกรอบจริยธรรมที่ชัดเจน เทคโนโลยีนี้อาจกลายเป็นดาบสองคมที่นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ การเลือกปฏิบัติ หรือแม้แต่การทำร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ แนวคิดจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงวิชาการ แต่การนำมาปฏิบัติในโลกจริงกลับเต็มไปด้วยความซับซ้อน AI ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์ การเงิน หรือกระบวนการยุติธรรม เริ่มมีบทบาทในการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตคนจริง ๆ ทำให้ประเด็นจริยธรรมยิ่งสำคัญขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ในระบบการสรรหาพนักงานด้วย AI มีกรณีศึกษาที่พบว่าระบบเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงหรือคนผิวสีจากการเรียนรู้ข้อมูลในอดีตโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการออกแบบระบบให้ปราศจากอคติทางข้อมูลและสามารถตรวจสอบได้ หนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ ผลกระทบ AI ต่อสังคม ซึ่งขยายวงกว้างตั้งแต่ตลาดแรงงานไปจนถึงโครงสร้างอำนาจทางการเมือง ระบบ AI ที่มีความสามารถในการทดแทนแรงงานมนุษย์ในหลายสาขา อาจนำไปสู่การว่างงานจำนวนมาก หรือความไม่เท่าเทียมที่รุนแรงขึ้น ขณะเดียวกัน AI ยังสามารถสร้าง “ฟองข้อมูล” ที่จำกัดมุมมองของผู้ใช้ ทำให้คนเราเข้าถึงข้อมูลที่สอดคล้องกับความเชื่อของตัวเองเท่านั้น ส่งผลต่อการรับรู้ ความขัดแย้ง และแม้แต่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังมีคำถามด้านจริยธรรมเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธอัตโนมัติ การเฝ้าระวังมวลชน และการสร้างเนื้อหาปลอมด้วย AI ที่อาจถูกใช้เพื่อทำลายความไว้วางใจในสื่อ หรือปลุกปั่นความรุนแรงในสังคม ผู้พัฒนา AI ไม่สามารถยึดหลักเพียง “ทำได้” แต่ต้องพิจารณาว่า “ควรทำหรือไม่” ด้วย ความรับผิดชอบทางจริยธรรมต้องอยู่ในทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบระบบ การเลือกข้อมูลฝึกสอน ไปจนถึงการปล่อยใช้งานในวงกว้าง การฝึกอบรมโมเดล AI ด้วยข้อมูลที่มีอคติ หรือไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แม้ว่าผู้ใช้งานปลายทางจะไม่สามารถเห็นข้อมูลต้นทางได้ก็ตาม นอกจากนี้ การขาดความโปร่งใสในการตัดสินใจของ AI ยังทำให้เกิดปัญหาในการอธิบาย (Explainability) และลดความสามารถของผู้ใช้งานในการทวงถามความยุติธรรมเมื่อเกิดผลลัพธ์ที่ผิดพลาด ในอนาคต เมื่อ AI มีความสามารถใกล้เคียงหรือเกินกว่ามนุษย์ในบางด้าน คำถามทางจริยธรรมจะยิ่งยากขึ้น เช่น หาก AI สามารถสร้างงานศิลปะได้ดีกว่ามนุษย์ ใครควรได้รับเครดิต? หากหุ่นยนต์มี “ความรู้สึก” เราควรปฏิบัติต่อพวกมันอย่างไร? คำถามเหล่านี้จะกลายเป็นความจริงในเวลาไม่นาน และสังคมจะต้องมีเครื่องมือในการตอบอย่างมีเหตุผลและมีจริยธรรม เพื่อไม่ให้มนุษย์หลุดจากการควบคุมเทคโนโลยีที่ตัวเองสร้างขึ้น AI จริยธรรม ไม่ใช่แค่ศัพท์วิชาการหรือแนวคิดในห้องทดลอง แต่คือหัวใจของการอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัยในยุคดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนชีวิตคนทุกวัน ความรับผิดชอบของผู้พัฒนา ผู้ใช้งาน และผู้กำหนดนโยบาย ต้องอยู่บนพื้นฐานของ จริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ ที่ไม่ละเลยผลกระทบต่อมนุษย์ แม้ว่า AI จะมอบโอกาสใหม่มหาศาล แต่หากไม่เข้าใจถึง ผลกระทบ AI ต่อสังคม อย่างลึกซึ้ง เทคโนโลยีนี้อาจกลายเป็นตัวเร่งปัญหาทางจริยธรรมที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น การวางกรอบคิดเชิงจริยธรรมตั้งแต่วันนี้ จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นภารกิจที่มนุษย์ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ ที่มา – https://www.scb10x.com/blog/emerging-ethical-challenges-generative-ai

AI

พื้นฐาน AI: ทำความเข้าใจปัญญาประดิษฐ์

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้ง คำว่า “AI” หรือ “ปัญญาประดิษฐ์” กลายเป็นคำที่ผู้คนได้ยินกันบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะในบริบทของโทรศัพท์มือถือ การเงิน การแพทย์ หรือแม้กระทั่งศิลปะ หลายคนอาจสงสัยว่าแท้จริงแล้ว AI คืออะไร มันทำงานอย่างไร และมีประโยชน์หรือข้อจำกัดอะไรบ้างที่เราควรตระหนักก่อนการนำมาใช้งาน AI ย่อมาจากคำว่า Artificial Intelligence หรือในภาษาไทยเรียกว่า “ปัญญาประดิษฐ์” หมายถึง ระบบหรือโปรแกรมที่ถูกออกแบบให้สามารถเลียนแบบกระบวนการคิด การเรียนรู้ การวิเคราะห์ และการตัดสินใจของมนุษย์ โดยอาศัยข้อมูล อัลกอริธึม และโครงสร้างที่ซับซ้อนทางคณิตศาสตร์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง AI คือความสามารถของเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์ในการ “แสดงออก” ทางความคิดเชิงตรรกะ เช่น การจำแนกรูปภาพ การคำนวณ การพยากรณ์ หรือแม้แต่การโต้ตอบกับมนุษย์ในรูปแบบภาษาธรรมชาติ ซึ่งในอดีตเป็นสิ่งที่เคยจำกัดอยู่เพียงในสมองของมนุษย์เท่านั้น การเรียนรู้เรื่อง AI ควรเริ่มจากพื้นฐาน โดยการเข้าใจว่า AI ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ไม่สามารถมีความรู้สึกหรืออารมณ์ได้เหมือนมนุษย์ แต่สามารถ “เรียนรู้” จากข้อมูลจำนวนมาก และปรับปรุงการทำงานของตนเองอย่างต่อเนื่องผ่านเทคนิคที่เรียกว่า Machine Learning (การเรียนรู้ของเครื่อง) และ Deep Learning (การเรียนรู้เชิงลึก) ในระดับ ปัญญาประดิษฐ์เบื้องต้น ระบบ AI มักเริ่มจากการทำงานอย่างเรียบง่าย เช่น การจัดกลุ่มข้อมูล การแยกประเภท หรือการตอบคำถามแบบพื้นฐาน โดยยังไม่ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกหรือการประมวลผลที่ซับซ้อนมากนัก จุดเริ่มต้นนี้สำคัญเพราะเป็นพื้นฐานของการพัฒนา AI ขั้นสูงในอนาคต AI สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามระดับความสามารถ โดยหลัก ๆ จะถูกจัดประเภทตามเกณฑ์ความซับซ้อนและขอบเขตของการประยุกต์ใช้งาน ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่ ระดับแรกคือ AI แบบแคบ (Narrow AI) ซึ่งเป็นรูปแบบที่เราพบเห็นได้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น ระบบจดจำใบหน้าในสมาร์ทโฟน หรือระบบแนะนำสินค้าในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ AI ประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่าง และไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานนอกเหนือขอบเขตที่กำหนดไว้ได้ ระดับที่สองคือ AI แบบทั่วไป (General AI) ซึ่งหมายถึง AI ที่สามารถเรียนรู้และประมวลผลข้อมูลได้ในหลากหลายบริบท คล้ายกับความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ปัจจุบัน AI ประเภทนี้ยังอยู่ในขั้นของการวิจัยและพัฒนา ระดับที่สามคือ AI แบบเหนือมนุษย์ (Superintelligent AI) ซึ่งเป็นแนวคิดเชิงทฤษฎีที่คาดการณ์ว่า AI อาจมีศักยภาพในการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้าน อย่างไรก็ตาม ประเภท AI นี้ยังไม่เกิดขึ้นจริง และเป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงกันมากในเชิงจริยธรรมและความปลอดภัย เบื้องหลังการทำงานของ AI คือกระบวนการที่ซับซ้อนของการประมวลผลข้อมูล การเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมาก และการสร้างรูปแบบ (Patterns) ที่สามารถนำไปใช้ทำนายหรือวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคตได้ โดยทั่วไปแล้ว AI จะประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ ได้แก่ ข้อมูล (Data): เป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่สุด AI ต้องการข้อมูลจำนวนมากเพื่อเรียนรู้  อัลกอริธึม (Algorithms): คือชุดคำสั่งหรือสูตรที่กำหนดวิธีการเรียนรู้และวิเคราะห์  พลังการประมวลผล (Computing Power): ใช้เพื่อเร่งการเรียนรู้และประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน  ตัวอย่างเช่น เมื่อเราสอน AI ให้รู้จักผลไม้ ระบบจะรับภาพหลายพันภาพของผลไม้ชนิดต่าง ๆ และเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของแต่ละชนิด จากนั้น เมื่อมีภาพใหม่เข้ามา AI จะสามารถจำแนกได้ว่าเป็นผลไม้ประเภทใดโดยอิงจากรูปแบบที่เคยเรียนรู้มา AI ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่การใช้งานแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน ระบบแปลภาษา การจดจำเสียงผู้พูด ไปจนถึงการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลในองค์กร หรือแม้แต่การช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคจากภาพถ่าย MRI นอกจากนี้ยังมีการนำ AI ไปใช้ในภาคการเงิน เช่น การตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์ หรือในภาคอุตสาหกรรมเพื่อควบคุมกระบวนการผลิตโดยอัตโนมัติ ทำให้ประหยัดเวลา ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจขององค์กร ที่มา – https://aws.amazon.com/th/what-is/artificial-intelligence/

DAO, Web3

DAOs (Decentralized Autonomous Organizations): องค์กรยุคใหม่

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำและความไว้วางใจในองค์กรแบบดั้งเดิมถูกตั้งคำถามมากขึ้น DAOs หรือ Decentralized Autonomous Organizations ได้ก้าวขึ้นมาเป็นรูปแบบการจัดการองค์กรที่น่าจับตามองที่สุดแบบหนึ่งในโลกดิจิทัล โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นแกนหลัก ได้เปลี่ยนแนวทางการทำงานร่วมกัน การบริหาร และการตัดสินใจภายในกลุ่มคนอย่างสิ้นเชิง DAO คือองค์กรที่ ดำเนินงานอย่างอัตโนมัติและกระจายศูนย์กลาง โดยการใช้ สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) บนเครือข่ายบล็อกเชนเพื่อควบคุมกฎระเบียบ การลงคะแนน และการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายในองค์กร กล่าวคือ DAO ไม่จำเป็นต้องมีผู้นำหรือผู้บริหารแบบดั้งเดิม เพราะทุกการตัดสินใจมาจากสมาชิกที่ถือโทเคนขององค์กร ลองจินตนาการถึงบริษัทที่ไม่จำเป็นต้องมี CEO, ไม่ต้องเปิดบัญชีธนาคาร และไม่ต้องรออนุมัติจากหัวหน้า ทุกอย่างดำเนินไปด้วยโค้ดและการโหวตของชุมชน DAO มีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน: Smart Contracts – กฎขององค์กรเขียนไว้ในรูปแบบโค้ด และรันอัตโนมัติบนบล็อกเชน เช่น Ethereum  โทเคน – ใช้ในการโหวตและบริหาร เช่น การตัดสินใจด้านงบประมาณหรือการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่  ชุมชนสมาชิก – ผู้ถือโทเคนมีสิทธิในการเสนอและลงคะแนนเสียงเพื่อกำหนดทิศทางขององค์กร  ในระบบนี้ ไม่มีใคร “ควบคุม” องค์กรได้เพียงลำพัง ทุกคนมีเสียง และการเปลี่ยนแปลงใดๆ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีฉันทามติจากชุมชน DAOs ถูกนำมาใช้ในหลากหลายบริบท เช่น: การบริหารเงินทุน: เช่น The DAO ซึ่งเป็นโปรเจกต์แรกๆ ที่ระดมทุนจากผู้คนทั่วโลกเพื่อบริหารกองทุนร่วมกัน  แพลตฟอร์ม DeFi (การเงินไร้ตัวกลาง): เช่น MakerDAO ที่ดูแลเหรียญ DAI ซึ่งเป็น Stablecoin ที่ผูกกับดอลลาร์สหรัฐ  กลุ่มศิลปินและนักสร้างสรรค์: ใช้ DAO เพื่อร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับโปรเจกต์งานศิลป์และการแบ่งรายได้ เช่น PleasrDAO  เกมและโลกเสมือนจริง: เกมแนว metaverse เช่น Decentraland ก็ใช้ DAO เพื่อให้ผู้เล่นมีส่วนในการบริหารเกม DAO ไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์ดิจิทัลชั่วคราว แต่สะท้อนถึง การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ของวิธีที่มนุษย์สร้างและบริหารองค์กรในยุคอินเทอร์เน็ต 3.0 (Web3) ทั้งนี้ องค์กรกระจายอำนาจ ดั้งเดิมก็เริ่มทดลองรูปแบบ DAO ในบางแง่มุม เช่นการใช้โหวตแบบกระจายอำนาจ หรือการเปิดให้พนักงานร่วมเสนอแผนงานได้มากขึ้น DAOs คือภาพสะท้อนของอนาคตที่ ความเป็นเจ้าของ ความรับผิดชอบ และการตัดสินใจ กลับมาอยู่ในมือของผู้คนมากขึ้น ด้วยความโปร่งใสและเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้ DAO ไม่ได้เป็นแค่ “องค์กรที่ไม่มีผู้นำ” แต่เป็น “องค์กรที่มีทุกคนเป็นผู้นำร่วมกัน” หากโลกยังเดินหน้าไปในทิศทางของ Web3 และการกระจายศูนย์กลาง DAO อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการจัดการองค์กรในอนาคตอันใกล้ ที่มา – https://www.investopedia.com/tech/what-dao/

Scroll to Top