Worldcoin

พื้นฐาน AI: ทำความเข้าใจปัญญาประดิษฐ์

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้ง คำว่า “AI” หรือ “ปัญญาประดิษฐ์” กลายเป็นคำที่ผู้คนได้ยินกันบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะในบริบทของโทรศัพท์มือถือ การเงิน การแพทย์ หรือแม้กระทั่งศิลปะ หลายคนอาจสงสัยว่าแท้จริงแล้ว AI คืออะไร มันทำงานอย่างไร และมีประโยชน์หรือข้อจำกัดอะไรบ้างที่เราควรตระหนักก่อนการนำมาใช้งาน AI ย่อมาจากคำว่า Artificial Intelligence หรือในภาษาไทยเรียกว่า “ปัญญาประดิษฐ์” หมายถึง ระบบหรือโปรแกรมที่ถูกออกแบบให้สามารถเลียนแบบกระบวนการคิด การเรียนรู้ การวิเคราะห์ และการตัดสินใจของมนุษย์ โดยอาศัยข้อมูล อัลกอริธึม และโครงสร้างที่ซับซ้อนทางคณิตศาสตร์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง AI คือความสามารถของเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์ในการ “แสดงออก” ทางความคิดเชิงตรรกะ เช่น การจำแนกรูปภาพ การคำนวณ การพยากรณ์ หรือแม้แต่การโต้ตอบกับมนุษย์ในรูปแบบภาษาธรรมชาติ ซึ่งในอดีตเป็นสิ่งที่เคยจำกัดอยู่เพียงในสมองของมนุษย์เท่านั้น

การเรียนรู้เรื่อง AI ควรเริ่มจากพื้นฐาน โดยการเข้าใจว่า AI ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ไม่สามารถมีความรู้สึกหรืออารมณ์ได้เหมือนมนุษย์ แต่สามารถ “เรียนรู้” จากข้อมูลจำนวนมาก และปรับปรุงการทำงานของตนเองอย่างต่อเนื่องผ่านเทคนิคที่เรียกว่า Machine Learning (การเรียนรู้ของเครื่อง) และ Deep Learning (การเรียนรู้เชิงลึก) ในระดับ ปัญญาประดิษฐ์เบื้องต้น ระบบ AI มักเริ่มจากการทำงานอย่างเรียบง่าย เช่น การจัดกลุ่มข้อมูล การแยกประเภท หรือการตอบคำถามแบบพื้นฐาน โดยยังไม่ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกหรือการประมวลผลที่ซับซ้อนมากนัก จุดเริ่มต้นนี้สำคัญเพราะเป็นพื้นฐานของการพัฒนา AI ขั้นสูงในอนาคต

AI สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามระดับความสามารถ โดยหลัก ๆ จะถูกจัดประเภทตามเกณฑ์ความซับซ้อนและขอบเขตของการประยุกต์ใช้งาน ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 3 ระดับหลัก ได้แก่ ระดับแรกคือ AI แบบแคบ (Narrow AI) ซึ่งเป็นรูปแบบที่เราพบเห็นได้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น ระบบจดจำใบหน้าในสมาร์ทโฟน หรือระบบแนะนำสินค้าในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ AI ประเภทนี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่าง และไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานนอกเหนือขอบเขตที่กำหนดไว้ได้ ระดับที่สองคือ AI แบบทั่วไป (General AI) ซึ่งหมายถึง AI ที่สามารถเรียนรู้และประมวลผลข้อมูลได้ในหลากหลายบริบท คล้ายกับความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ปัจจุบัน AI ประเภทนี้ยังอยู่ในขั้นของการวิจัยและพัฒนา ระดับที่สามคือ AI แบบเหนือมนุษย์ (Superintelligent AI) ซึ่งเป็นแนวคิดเชิงทฤษฎีที่คาดการณ์ว่า AI อาจมีศักยภาพในการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้าน อย่างไรก็ตาม ประเภท AI นี้ยังไม่เกิดขึ้นจริง และเป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงกันมากในเชิงจริยธรรมและความปลอดภัย

เบื้องหลังการทำงานของ AI คือกระบวนการที่ซับซ้อนของการประมวลผลข้อมูล การเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมาก และการสร้างรูปแบบ (Patterns) ที่สามารถนำไปใช้ทำนายหรือวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคตได้

โดยทั่วไปแล้ว AI จะประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ ได้แก่

  • ข้อมูล (Data): เป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่สุด AI ต้องการข้อมูลจำนวนมากเพื่อเรียนรู้ 
  • อัลกอริธึม (Algorithms): คือชุดคำสั่งหรือสูตรที่กำหนดวิธีการเรียนรู้และวิเคราะห์ 
  • พลังการประมวลผล (Computing Power): ใช้เพื่อเร่งการเรียนรู้และประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน 

ตัวอย่างเช่น เมื่อเราสอน AI ให้รู้จักผลไม้ ระบบจะรับภาพหลายพันภาพของผลไม้ชนิดต่าง ๆ และเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของแต่ละชนิด จากนั้น เมื่อมีภาพใหม่เข้ามา AI จะสามารถจำแนกได้ว่าเป็นผลไม้ประเภทใดโดยอิงจากรูปแบบที่เคยเรียนรู้มา

AI ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่การใช้งานแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟน ระบบแปลภาษา การจดจำเสียงผู้พูด ไปจนถึงการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลในองค์กร หรือแม้แต่การช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคจากภาพถ่าย MRI นอกจากนี้ยังมีการนำ AI ไปใช้ในภาคการเงิน เช่น การตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์ หรือในภาคอุตสาหกรรมเพื่อควบคุมกระบวนการผลิตโดยอัตโนมัติ ทำให้ประหยัดเวลา ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจขององค์กร

ที่มา – https://aws.amazon.com/th/what-is/artificial-intelligence/

Scroll to Top